วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

ความเป็นผู้นำของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติ

ความเป็นผู้นำของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติ ประภาพร บุญปลอด Prapaporn Boonplord E-mail: airthecorr@hotmail.com ศึกษาและเรียบเรียง Jolley (1997) ได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ (key success factor) ของประเทศที่เป็นผู้นำด้านการศึกษานานาชาติด้านความสามารถในการดึงนักศึกษา ต่างชาติไปศึกษาต่อได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย พบว่ามีปัจจัยความสำเร็จดังนี้ 1. ประเทศดังกล่าวมีมหาวิทยาลัยใจชั้นแนวหน้าระดับโลกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ มหาวิทยาลัยเหล่านี้มีชื่อเสียงด้านคุณภาพการศึกษา มีหลักสูตรที่มีความหลากหลาย มีระบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น 2. มหาวิทยาลัยมีหลักสูตรที่ดี ทำให้เป็นที่น่าสนใจของคณาจารย์ต่างประเทศ มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาต่างชาติ และมีสมาคมศิษย์เก่าที่มีบทบาทสูง 3. ในประเทศดังกล่าวมีชุมชนชาวเอเชียอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเครือข่ายที่ดีและให้การสนับสนุนนักศึกษานานาชาติ 4. มหาวิทยาลัยให้ทุนการศึกษาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทุนระดับปริญญาโทและเอก 5. โครงการช่วยเหลือด้านการศึกษา เช่น ในช่วงปี ค.ศ.1993-1994 รัฐบาลในเครือจักรภพได้ให้ทุนการศึกษานักศึกษาต่างชาติมากกว่า 8,000 คน ผ่านหน่วยงาน AusAID (Australian Agency for International Development) ของออสเตรเลียเป็นจำนวน 60 ล้านเหรียญออสเตรเลียหรือประมาณ 1,800 ล้านบาท 6. มีการสร้างเครือข่ายในภูมิภาค ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมในเครือจักรภพ 7. ค่าเล่าเรียนที่มีราคาคุ้มค่าในการเรียนหลักสูตรที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในออสเตรเลียและแคนาดา 8. การใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางและเป็นที่นิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการธุรกิจ 9. การที่ประสบความสำเร็จในการวางกลยุทธ์การตลาดการศึกษา 10. การตั้งมหาวิทยาลัยสาขาในต่างประเทศ และการมีทรัพยากรพร้อมในการเปิดการศึกษาทางไกล หากวิเคราะห์ประเทศไทยแล้วประเทศไทยสามารถพัฒนาความเป็นผู้นำในการเป็นศูนย์ กลางการศึกษานานาชาติได้ โดยพิจารณาด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. การติดอันดับของสถาบันอุดมศึกษา โดยองค์กรที่มีชื่อเสียงต่างประเทศ เช่น The Times Higher Education Supplement ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีชื่อของประเทศอังกฤษ ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.2005 ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก 200 อันดับประจำปี ค.ศ.2005 ปรากฏว่าเป็นปีแรกที่มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับดังกล่าว โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดอันดับ 121 จาก 200 ในการจัดอันดับแยกตามสาขาวิชาย่อย ปรากฏว่าสาขาสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดอันดับ 46 จาก 100 อันดับ สาขาเวชศาสตร์ ติดอันดับที่ 82 และสาขาเทคโนโลยี ติดอันดับ 100 ถ้าพิจารณาเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดอันดับ 35 ส่วนในภูมิภาคอาเซียน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดอันดับ 3 ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คะแนนสูงในด้านผู้จ้างผู้ประกอบการ ซึ่งใช้บัณฑิตจุฬาฯ และคะแนนในสัดส่วนอาจารย์ต่อนิสิต เพราะมีอาจารย์ 1 คน ต่อนิสิต 11 คน โดยให้คะแนนเท่ากับมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ในสหรัฐอเมริกา แสดงว่าบัณฑิตจุฬาฯ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก (สุชาดา กีระนันท์, 2548) นอกจากนี้ นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (2548) ได้กล่าวว่า การที่จุฬาฯ ติดอันดับ 121 ของโลก เท่ากับมหาวิทยาลัยชื่อดังโลก คือ มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต ในสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยปารีส ในฝรั่งเศส 2. การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศของ IMD (International Institute for Management Development) แห่งประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2547 พบว่าความสามารถในการแข่งขันระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 15 ประเทศ โดยประเทศสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 1 และมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 5 และจากการจัดอันดับการศึกษาของ IMD ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 48 สูงกว่าประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (53) ฟิลิปปินส์ (57) และอินโดนีเซีย (60) แต่ต่ำกว่าสิงคโปร์ (14) และมาเลเซีย (24) 3. ค่าใช้จ่ายด้านการพัฒนาการศึกษาไทยในปี พ.ศ.2547 รัฐบาลให้ความสนใจในการพัฒนาการศึกษาอย่างมาก และได้มีการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาค่อนข้างสูงถึง 200,000 ล้านบาททุกปี ซึ่งเป็นจำนวนค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เป็นต้น 3. ด้านจำนวนนักศึกษาต่างชาติและความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ประเทศไทยจัดว่าอยู่ในอันดับ 3 ในภูมิภาค 4. ด้านจำนวนหลักสูตรนานาชาติ และความหลากหลายของหลักสูตร เป็นดัชนีชี้วัดที่ สำคัญของความเป็นสากลของสถาบันของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการ ศึกษา (สมศ.) โดยประเทศไทยในปี พ.ศ.2549 มีหลักสูตรนานาชาติทั้งหมด 720 หลักสูตรในระดับปริญญาตรี โท และเอก ในด้านต่างๆ อาทิเช่น วิศวกรรมศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ เกษตรศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ เป็นต้น 5. จากการวิจัยของ ธเนศ จิตสุทธิภากร (2547) พบว่าหนึ่งในองค์ประกอบของโปรแกรมนานาชาติที่สำคัญ ได้แก่ ทรัพยากรสนับสนุน ได้แก่ อาคารสถานที่ ห้องสมุดที่ทันสมัย และระบบสารสนเทศ 6. และจากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ.2547พบว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการศึกษานานา ชาติในภูมิภาคเนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่มีความพร้อมในระดับหนึ่ง เช่น จำนวนสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่และปัจจัยแวดล้อม 7. ประเทศไทยยังเป็นที่ตั้งของศูนย์/สำนักงานของเครือข่ายความร่วมมือด้านการ ศึกษาระดับภูมิภาคต่างๆ อาทิเช่น สำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network) ศูนย์ภูมิภาคของซีมีโอ ว่าด้วยการอุดมศึกษาและการพัฒนา Regional Centre for Higher Education and Development (SEAMEO RIHED) และโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและคณาจารย์ในเอเชีย และแปซิฟิก (University Mobility in Asia and the Pacific : UMAP) ในด้านสถานที่ตั้งและสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ประเทศไทยถือว่าเหมาะสมที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาในหมู่ประเทศ เพื่อนบ้าน ดังเหตุผลต่อไปนี้ 1. มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม 2. มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี 3. การสื่อสารและคมนาคมทันสมัย 4. ค่าครองชีพในไทยก็ค่อนข้างต่ำ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายน้อยเมื่อเทียบกับการเรียนในแถบยุโรป หรืออเมริกา สามารถจูงใจให้นักศึกษาจากประเทศใกล้เคียงเข้ามาเรียนในไทยได้ง่ายขึ้น 5. หลักสูตรนานาชาติมีหลายระดับ และมีความหลากหลาย ในปี 2547 มีชาวต่างชาติเข้ามาศึกษาในไทย 19,350 คน แบ่งเป็นนักเรียน 13,700 คน และนักศึกษาระดับอุดมศึกษา 5,601 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวสาธารณรัฐประชาชนจีน รองลงมาเป็นชาวสหภาพพม่า และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามลำดับ เมื่อพิจารณาสถิติการเข้ามาเพื่อศึกษาต่อของนักศึกษาต่างชาติในไทย ปี พ.ศ.2547 มีอัตราการเติบโตในระดับ 16.78% โดยมีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาต่อในประเทศไทย 5,601 ราย และสามารถสร้างรายได้รวมมากกว่า 8,000 ล้านบาท 6. ในปี พ.ศ.2549 กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ในฐานะผู้รับผิดชอบแผนกการตลาดด้านธุรกิจบริหารการศึกษานานา ชาติ ตั้งเป้าว่าในปีถัดไปจะสามารถสร้างรายได้รวม 10,000 ล้านบาท (ประชาชาติธุรกิจ, 2548) แนวโน้มปี 2550 คาดว่า การรับนักเรียน/นักศึกษาต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 20% ส่วนใหญ่ยังคงเป็นชาวสาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สหภาพพม่า เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐอเมริกาและอังกฤษหรือประเทศในแถบยุโรปอื่นๆ เป็นเป้าหมายของการก่อความไม่สงบ ผู้ปกครองค่อนข้างห่วงความปลอดภัยของบุตรหลาน ทำให้เด็กนักเรียนในภูมิภาคเอเชียย้ายกลับมาเรียนในไทย หรือในประเทศที่ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นโอกาสที่ดีต่อธุรกิจการศึกษาของไทยมาก ภาครัฐจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ขยายการรุกตลาดการศึกษาให้มากขึ้น (กระทรวงพาณิชย์, 2548) ตลาดประเทศกลุ่มเป้าหมายแบ่งออกเป็น ตลาดหลัก คือ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย และตลาดใหม่ เป็นตลาดในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศในแถบยุโรปอื่นๆ ที่ต้องการจะเข้ามาเรียนที่ไทยตามโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่าง มหาวิทยาลัยในไทยและต่างประเทศที่มีข้อตกลงต่อกันรวมทั้งการเรียนหลักสูตร ระยะสั้นด้วย (กรมส่งเสริมการส่งออก, 2548)

วัตถุประสงค์และมาตรการด้านความเป็นนานาชาติในแผนพัฒนาการศึกษาฉบับที่ 8

วัตถุประสงค์และมาตรการด้านความเป็นนานาชาติในแผนพัฒนาการศึกษาฉบับที่ 10 ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 10 ได้กำหนดวัตถุประสงค์ในการพัฒนาไว้ 6 ประการ เช่นเดียวกับที่มีการกำหนดเป้าหมายและมาตรการรองรับไว้ 6 ประการด้วย เพื่อความสอดคล้องในการนำแผนไปปฏิบัติ วัตถุประสงค์ด้านความเป็นนานาชาติหรือความเป็นสากลนั้นถูกกำหนดไว้เป็นข้อที่ 5 ดังมีรายละเอียดกล่าวไว้ดังนี้ คือ (Internationalization Regionalization) 1. มุ่งยกระดับมาตรฐานและความสามารถของมหาวิทยาลัย/สถาบันให้มีมาตรฐานสากล ทั้งในเชิงวิชาการและการบริหารมหาวิทยาลัยรวมทั้งการสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ให้มหาวิทยาลัย/สถาบันเข้าไปมีบทบาททางวิชาการในเวทีนานาชาติและการสร้างเสริมให้อาจารย์และบัณฑิตไทยมีสมรรถนะสากล เจตคติ โลกทัศน์และชีวทัศน์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดนั้น ตลอดจนสามารถจัดการเรียนการสอนหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานสากล อย่างมีคุณภาพให้กับนักศึกษาจากต่างประเทศ 2. มุ่งส่งเสริมสนับสนุนให้มหาวิทยาลัย/สถาบันไทยเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาระดับ ภูมิภาคมากขึ้น อุดมศึกษาไทยจะต้องเข้าไปมีบทบาทเป็นผู้นำระดับภูมิภาคได้และสามารถสร้างองค์ความรู้อันเกี่ยวเนื่องกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้ ในขณะเดียวกันก็สร้างความเข้มแข็งในศิลปวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมไทย มาตรการด้านความเป็นนานาชาติที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในแผนพัฒนา จากวัตถุประสงค์ข้างต้น ได้มีการกำหนดวัตถุประสงค์ และมาตรการย่อยที่สอดคล้องกัน เพื่อความสามารถที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ ต่อไปนี้ คือ (สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ทบวงมหาวิทยาลัย, 2541: 26-28) วัตถุประสงค์ 5.1 ยกมาตรฐานการอุดมศึกษาไทยมีความเป็นสากล กลยุทธ์ 1 พัฒนาบุคลลากรของประเทศไทยให้มีภูมิความรู้และเทคโนโลยีเพื่อ เป็นฐานสำหรับการแข่งขันในประชาคมโลก กลยุทธ์ 2 ให้มีการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาให้ได้ มาตรฐานเทียบเคียงกับต่างประเทศ กลยุทธ์ 3 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาโดยเฉพาะเทคโนโลยี สารสนเทศและภาษาต่างประเทศให้สามารถรองรับการพัฒนาไปสู่ ความเป็นสากล วัตถุประสงค์ 5.2 พัฒนากำลังคน ของไทยมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีศักยภาพเพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่และแข่งขันได้ในประชาคมโลก กลยุทธ์ 1 จัดการเรียนการสอนให้เอื้อต่อความเป็นสากล กลยุทธ์ 2 ส่งเสริมความร่วมมือและเครือข่ายการเรียนรู้จากต่างประเทศเพื่อ ให้เป็นอาจารย์ได้พัฒนาตนเองให้ทันกับความก้าวหน้าทางวิชาการ กลยุทธ์ 3 สร้างความตระหนักให้แก่นักศึกษาและบุคลากรถึงคุณค่าวัฒนธรรม ไทย และให้มีโลกทัศน์สากลเกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างชาติ ต่างภาษา เพื่อให้มีความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับนานาประเทศ กลยุทธ์ 4 สนับสนุนภาวะผู้นำของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยให้สามารถ พัฒนาระบบการบริหารมหาวิทยาลัยและการบริหารวิชาการในระดับ มาตรฐานสากล วัตถุประสงค์ 5.3 ริเริ่มบทบาทความเป็นผู้นำประชาคมภูมิภาคด้วยความเป็นเลิศแห่งองค์ความรู้ทางวิชาการ กลยุทธ์ 1 พัฒนาองค์ความรู้ที่ประเทศไทยมีแต่ประเทศอื่นไม่มีให้มีความเป็นเลิศนี้เป็นประโยชน์แก่ประชาคมโลก กลยุทธ์ 2 สนับสนุนมหาวิทยาลัย/สถาบัน ให้สร้างความเป็นเลิศทาง วิชาการในเรื่องที่มหาวิทยาลัย/สถาบันนั้นๆ สนใจ/สำนึก และมี ศักยภาพเพียงพอ และพัฒนาความเป็นเลิศให้อยู่ในระดับผู้นำของโลก กลยุทธ์ 3 สนันสนุนการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่แตกต่าง ไปจากองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อแสวงหาทิศทาง แนวทาง แนวความคิดใหม่ๆ ช่วยแก้ไขปัญหาของสังคมโลก

การส่งเสริมการศึกษานานาชาติในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย

การส่งเสริมการศึกษานานาชาติในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย ประเทศไทยมีความสำคัญของความเป็นสากลของการอุดมศึกษามีชัดเจนในนโยบายความเป็นนานาชาติของอุดมศึกษาในไทยนั้น เริ่มต้นอย่างชัดเจนในช่วงการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 ขึ้น โดยมีการเตรียมการที่จะพัฒนาความเป็นสากลของอุดมศึกษาไทย ทั้งการกำหนดในแผนพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว (พ.ศ. 2533-2542) การกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 และการสร้างความเข้าใจผ่านประชุมสัมมนาระดับชาติด้วยในเวลาเดียวกัน จากแผนพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว (พ.ศ. 2533-2547) นั้น มีการกำหนดแนวทางการพัฒนาความเป็นสากล ได้แก่ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2541: 340-343) 1) ในด้านการสอน กำหนดแนวทางส่งเสริมการศึกษานานาชาติ หลักสูตรไทยศึกษา การเรียนการสอนภาษา การพัฒนาทักษะสากล เช่น ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และภาษา 2) ในด้านการวิจัย กำหนดให้พัฒนาวิชาการไปสู่ความเป็นเลิศในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ 3) ในด้านการบริการวิชาการ กำหนดให้พัฒนารากฐานความร่วมมือด้านการบริการกับต่างประเทศ เช่น การตั้งองค์การบริการวิชาการบางประเภทร่วมกับบริษัทนานาชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ 4) ในด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมได้กำหนดแนวทางให้ส่งเสริมการสงวนความแตกต่างทางวัฒนธรรม เพื่ออยู่ร่วมกับประชาคมโลกอย่างมีศักดิ์ศรีและสันติสุข จากแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) ได้กล่าวถึงนโยบายการส่งเสริมความเป็นสากลและมาตรการต่างๆ สามารถสรุปได้ดังนี้ (ศรัณย์ เลิศรักษ์มงคล, 2543: 403-404) 1. ปรับปรุงระบบอุดมศึกษาไทยให้สามารถส่งเสริมบทบาทของประเทศที่เพิ่มขึ้นทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจในประชาคมโลก จากนโยบายดังกล่าวรัฐฯ จึงได้กำหนดให้มีมาตรการต่างๆ เข้ามารองรับ เช่นการสนับสนุนการจัดการศึกษา เพื่อให้เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งประเทศในภูมิภาคอินโดจีน ในกลุ่มอาเซียน ประชาคมเอเชียและแปซิฟิก ประชาคมยุโรปจนถึงยุโรปตะวันออก ซึ่งครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านไทยคดี ศึกษาการจัดหลักสูตรนานาชาติที่ให้โอกาสคนต่างชาติต่างวัฒนธรรมเข้ามาศึกษา การขยายเครือข่ายความร่วมมือในการผลิตบัณฑิต การวิจัย การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนนักศึกษา และนักวิชาการ ขณะเดียวกันมีการมุ่งเน้นให้มีการส่งเสริมบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้สามารถในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในเรื่องการส่งคณะผู้แทนไปเจรจาความร่วมมือการให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรม การสนับสนุนบุคคลากรอุดมศึกษาให้ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศตลอดจนการสร้างบุคลากรดังกล่าวให้มีศักยภาพในการปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศ 2. ให้มีการปรับปรุงสาระและรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อให้บัณฑิตมีความเป็นมนุษย์มีโลกทัศน์กว้างมีความเข้าใจในมรดก และวัฒนธรรมไทยสามารถวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและทักษะใหม่ที่จำเป็นยุคสารสนเทศ และการเพิ่มบทบาทของประเทศในประชาคมโลก จากนโยบายนี้รัฐฯจึงได้กำหนดมาตรการหลักไว้หลายประการ เช่น เน้นให้มีการพัฒนาหลักสูตรชุดการเรียน หลักสูตรวิชาการศึกษาทั่วไปให้มีลักษณะของการเรียนด้วยตนเอง หรือการเรียนภายใต้คำแนะนำมากขึ้น การเน้นทักษะที่สำคัญด้านภาษาและการสื่อความหมาย การใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศและการจัดการ จากข้อเสนอแนะจากการประชุมสัมมนาเรื่อง ความเป็นสากลของการอุดมศึกษาไทยที่จัดขึ้นโดยทบวงมหาวิทยาลัย ในระหว่าง 28-30 มกราคม 2543 ได้รวบรวมข้อเสนอแนะจากกรณีดังกล่าวไว้หลายประการซึ่งสอดคล้องกับแผนข้างต้นสามารถสรุปได้ดังนี้(สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2541: 343) • มหาวิทยาลัยไทยควรเป็นผู้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาความเป็นสากลในไทย • การพัฒนาความเป็นสากลของอุดมศึกษาควรเน้นที่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ยังมีการแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา การปฏิรูปเนื้อหาสาระและรูปแบบหลักสูตร การสนับสนุนทางด้านงบประมาณ เพื่อสร้างโครงสร้างและปัจจัยพื้นฐานในมหาวิทยาลัย และสนับสนุนกิจการความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนต่างๆ • ในระยะยาวควรเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทย โดยเฉพาะนักศึกษาทางด้านภาษาและสังคมมีโอกาสไปศึกษาระยะสั้นในต่างประเทศและเปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างประเทศเข้ามาเรียนในประเทศไทยมากขึ้น • ควรมีการพัฒนามาตรฐานทางวิชาการระหว่างประเทศ การพัฒนาหลักสูตรที่มีการเรียนวิชาที่มีความเป็นสากลอย่างสม่ำเสมอ • ควรมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในมหาวิทยาลัย เช่น หน่วยงานประสานงานด้านการศึกษานานาชาติ และระบบข้อมูลด้านการศึกษานานาชาติ • ควรทำความเข้าใจในระหว่างบุคคลากรของมหาวิทยาลัยให้เห็นความสำคัญและการยอมรับเป็นสากลของการอุดมศึกษา นโยบายความเป็นนานาชาติในช่วงแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 8 ในช่วงของการพัฒนาการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาติ ที่อาศัยแนวทางการจากแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ของทบวงมหาวิทยาลัยนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่มีการระดมความคิดเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาวเรื่องความเป็นสากลของอุดมศึกษาไทย และแนวทางการพัฒนาความเป็นสากลเช่นกัน ซึ่งได้ข้อสรุปดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2541: 370) วิสัยทัศน์ ค.ศ. ในปีคริสตศักราช 2020 (พ.ศ. 2563) การอุดมศึกษาไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก จะมีลักษณะดังนี้ 1) จำนวนนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทย ทั้งของรัฐและเอกชนทั้งในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอื่นๆ จะมีนักศึกษาทั้งหมดประมาณร้อยละ 40 ของประชากรจำนวนวัยเรียนระดับอุดมศึกษาจำนวนนักศึกษานานาชาติจะมีอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาทุกประเภทรวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาของสงฆ์ประมาณ 10,000 คนต่อปี 2) นิสิตนักศึกษาไทยมีโลกทัศน์กว้างไกล สามารถเข้าใจและเห็นคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะ ศิลปวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน มีความเคารพในสิทธิเสรีภาพ เอกราชและประชาธิปไตยของประเทศอื่น 3) บัณฑิตที่จบการศึกษาของไทย มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะผู้นำและผู้ตามในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การพัฒนา ความเข้าใจอันดีงาม ความมั่งคั่ง ความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาคและโลก 4) บัณฑิตไทยมีสมรรถภาพสากล (global competence) มีความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ ความสามารถในการปรับตัว มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และภาษาต่างประเทศบัณฑิตสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย 2 ภาษา คือภาษาระหว่างประเทศ เช่น อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และภาษาในภูมิภาค เช่น ภาษาเวียดนาม ลาว เขมร มาเลย์ 5) มหาวิทยาลัยเปิดของไทยมีนักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้ามาเรียน มากยิ่งขึ้นมหาวิทยาลัยเปิดเป็นแหล่งให้การศึกษาตลอดชีวิตที่สำคัญแก่เจ้าหน้าที่และแรงงานของไทยในต่างประเทศ 6) คณาจารย์ของสถาบันอุดมศึกษาของไทยมีความสนใจใฝ่รู้และติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการในระดับนานาชาติ สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยเช่น Internet ในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และผลการค้นคว้าวิจัยกับนักวิชาการในต่างประเทศ คณาจารย์ไทยเข้าร่วมประชุมสัมมนาวิชาการในแขนงวิชาของตนในระดับชาติปีละครั้ง ในระดับภูมิภาค 2 ปีต่อครั้ง และระดับนานาชาติ 3 ปีต่อครั้งเป็นอย่างน้อย 7) คณาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของไทย มีบทบาทสำคัญในการสร้างผลงานทางวิชาการจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิภาค มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งสมาคมเครือข่ายและชุมชนวิชาการและวิชาชีพในภูมิภาค 8) คณาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของไทยมีผลงานทางวิชาการตีพิมพ์และเผยแพร่ในวารสารต่างประเทศ คณาจารย์ของไทยได้รับการยกย่องในวงวิชาการระดับนานาชาติ 9) บัณฑิตศึกษาของไทยมีความเป็นเลิศทางวิชาการ มีขีดความสามารถสูงในการศึกษาค้นคว้าวิจัย และการผลิตกำลังคนระดับสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศและภูมิภาคบัณฑิตของไทยมีศักยภาพในการเอื้ออำนวยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ประเทศเพื่อนบ้าน 10) สถาบันอุดมศึกษาไทยเปิดสอนหลักสูตรภูมิภาค ไทยศึกษาและจัดตั้งศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ศูนย์พม่าศึกษา เวียดนามศึกษา มีการแบ่งงานและร่วมงานกันเพื่อสร้างเอกลักษณ์และศักยภาพในการพัฒนาความชำนาญการเฉพาะทาง มีการเชิญนักวิชาการที่มีความรู้ความชำนาญจากต่างประเทศมาประจำเป็นระยะ มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน 11) สถาบันอุดมศึกษาไทยร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศในการจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาหรือศูนย์การสอนภาษาไทยในต่างประเทศมีการแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักศึกษาระหว่างไทยและสถาบันที่ร่วมมือ และมีอาจารย์สอนภาษาและศิลปวัฒนธรรมไทยมีโอกาสเผยแพร่ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรม 12) ประเทศไทยศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในภูมิภาค ความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและเทคโนโลยี ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านต้องการมีพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างรีบเร่งด้วยการให้การศึกษาและฝึกอบรม ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศเพื่อนบ้าน สถาบันอุดมศึกษาไทยมีศักยภาพสูงในการบริการการศึกษาและฝึกอบรม การคมนาคมสะดวกมีการเปิดถนนและสะพานมิตรภาพเชื่อมทางเหนือกับจีน ทางตะวันตกกับพม่า ทางตะวันออกกับลาว กัมพูชาและเวียดนาม ปัจจัยเหล่านี้เอื้ออำนวยต่อการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมและการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรม และศูนย์กลางการประชุมสัมมนาในภูมิภาค 13) ไทยเป็นศูนย์ข้อมูลทางด้านการอุดมศึกษาในภูมิภาค ประเทศต่างๆ ทั่วโลกสามารถที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับอุดมศึกษาในภูมิภาคนี้โดยการค้นคว้าจากประเทศไทยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 10 ถือเป็นแผนหรือแนวทางที่รัฐบาลโดยทบวงมหาวิทยาลัยจัดทำขึ้นเพื่อใช้พัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบันเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) เป็นต้นมา โดยที่แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 8 นี้ ได้กำหนดยุทธ์ศาสตร์หลักที่เกี่ยวข้องกับความเป็นนานาชาติไว้ 6 ประการ ด้วยกันคือ (สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ทบวงมหาวิทยาลัย, 2540: 8-9) 1) การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและความเป็นเลิศทางวิชาการ (Quality and Excellence) 2) การขยายโอกาสเข้าสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษา และความเท่าเทียมกันของ โอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษา (Access and Equity) 3) การเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารอุดมศึกษา และระบบการตรวจสอบ (Efficiency and Accountability) 4) ความสอดคล้องของผลผลิตของอุดมศึกษากับความต้องการของสังคมทั้งด้าน ปริมาณและคุณภาพและทันการ (Relevance and Deliver) 5) การพัฒนาความเป็นสากลของอุดมศึกษาไทยและการเปิดสู่ภูมิภาค (Internationalization and Regionalization) 6) ส่งเสริมภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการจัดการอุดมศึกษาและการใช้การ จัดการแบบเอกชนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (Privatization and Corporatization) อาเซียน ประชาคมเอเชียและแปซิฟิก ประชาคมยุโรปจนถึงยุโรปตะวันออก ซึ่งครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านไทยคดี ศึกษาการจัดหลักสูตรนานาชาติที่ให้โอกาสคนต่างชาติต่างวัฒนธรรมเข้ามาศึกษา การขยายเครือข่ายความร่วมมือในการผลิตบัณฑิต การวิจัย การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนนักศึกษา และนักวิชาการ ขณะเดียวกันมีการมุ่งเน้นให้มีการส่งเสริมบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้สามารถในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในเรื่องการส่งคณะผู้แทนไปเจรจาความร่วมมือการให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรม การสนับสนุนบุคคลากรอุดมศึกษาให้ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศตลอดจนการสร้างบุคลากรดังกล่าวให้มีศักยภาพในการปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศ 2) ให้มีการปรับปรุงสาระและรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อให้บัณฑิตมีความเป็นมนุษย์มีโลกทัศน์กว้างมีความเข้าใจในมรดก และวัฒนธรรมไทยสามารถวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและทักษะใหม่ที่จำเป็นยุคสารสนเทศ และการเพิ่มบทบาทของประเทศในประชาคมโลก จากนโยบายนี้รัฐฯจึงได้กำหนดมาตรการหลักไว้หลายประการ เช่น เน้นให้มีการพัฒนาหลักสูตรชุดการเรียน หลักสูตรวิชาการศึกษาทั่วไปให้มีลักษณะของการเรียนด้วยตนเอง หรือการเรียนภายใต้คำแนะนำมากขึ้น การเน้นทักษะที่สำคัญด้านภาษาและการสื่อความหมาย การใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศและการจัดการ จากข้อเสนอแนะจากการประชุมสัมมนาเรื่อง ความเป็นสากลของการอุดมศึกษาไทยที่จัดขึ้นโดยทบวงมหาวิทยาลัย ในระหว่าง 28-30 มกราคม 2543 ได้รวบรวมข้อเสนอแนะจากกรณีดังกล่าวไว้หลายประการซึ่งสอดคล้องกับแผนข้างต้นสามารถสรุปได้ดังนี้(สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2541: 343) 1.มหาวิทยาลัยไทยควรเป็นผู้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาความเป็นสากลในไทย 2.การพัฒนาความเป็นสากลของอุดมศึกษาควรเน้นที่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ยังมีการแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา การปฏิรูปเนื้อหาสาระและรูปแบบหลักสูตร การสนับสนุนทางด้านงบประมาณ เพื่อสร้างโครงสร้างและปัจจัยพื้นฐานในมหาวิทยาลัย และสนับสนุนกิจการความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนต่างๆ 3.ในระยะยาวควรเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทย โดยเฉพาะนักศึกษาทางด้านภาษาและสังคมมีโอกาสไปศึกษาระยะสั้นในต่างประเทศและเปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างประเทศเข้ามาเรียนในประเทศไทยมากขึ้น 4.ควรมีการพัฒนามาตรฐานทางวิชาการระหว่างประเทศ การพัฒนาหลักสูตรที่มีการเรียนวิชาที่มีความเป็นสากลอย่างสม่ำเสมอ 5.ควรมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในมหาวิทยาลัย เช่น หน่วยงานประสานงานด้านการศึกษานานาชาติ และระบบข้อมูลด้านการศึกษานานาชาติ 6.ควรทำความเข้าใจในระหว่างบุคคลากรของมหาวิทยาลัยให้เห็นความสำคัญและการยอมรับเป็นสากลของการอุดมศึกษา นโยบายความเป็นนานาชาติในช่วงแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 8 ในช่วงของการพัฒนาการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาติ ที่อาศัยแนวทางการจากแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ของทบวงมหาวิทยาลัยนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่มีการระดมความคิดเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาวเรื่องความเป็นสากลของอุดมศึกษาไทย และแนวทางการพัฒนาความเป็นสากลเช่นกัน ซึ่งได้ข้อสรุปดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2541: 370) วิสัยทัศน์ ค.ศ. ในปีคริสตศักราช 2020 (พ.ศ. 2563) การอุดมศึกษาไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก จะมีลักษณะดังนี้ 1) จำนวนนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทย ทั้งของรัฐและเอกชนทั้งในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอื่นๆ จะมีนักศึกษาทั้งหมดประมาณร้อยละ 40 ของประชากรจำนวนวัยเรียนระดับอุดมศึกษาจำนวนนักศึกษานานาชาติจะมีอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาทุกประเภทรวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาของสงฆ์ประมาณ 10,000 คนต่อปี 2) นิสิตนักศึกษาไทยมีโลกทัศน์กว้างไกล สามารถเข้าใจและเห็นคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะ ศิลปวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน มีความเคารพในสิทธิเสรีภาพ เอกราชและประชาธิปไตยของประเทศอื่น 3) บัณฑิตที่จบการศึกษาของไทย มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะผู้นำและผู้ตามในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การพัฒนา ความเข้าใจอันดีงาม ความมั่งคั่ง ความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาคและโลก 4) บัณฑิตไทยมีสมรรถภาพสากล (global competence) มีความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ ความสามารถในการปรับตัว มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และภาษาต่างประเทศบัณฑิตสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย 2 ภาษา คือภาษาระหว่างประเทศ เช่น อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และภาษาในภูมิภาค เช่น ภาษาเวียดนาม ลาว เขมร มาเลย์ 5) มหาวิทยาลัยเปิดของไทยมีนักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้ามาเรียน มากยิ่งขึ้นมหาวิทยาลัยเปิดเป็นแหล่งให้การศึกษาตลอดชีวิตที่สำคัญแก่เจ้าหน้าที่และแรงงานของไทยในต่างประเทศ 6) คณาจารย์ของสถาบันอุดมศึกษาของไทยมีความสนใจใฝ่รู้และติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการในระดับนานาชาติ สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยเช่น Internet ในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และผลการค้นคว้าวิจัยกับนักวิชาการในต่างประเทศ คณาจารย์ไทยเข้าร่วมประชุมสัมมนาวิชาการในแขนงวิชาของตนในระดับชาติปีละครั้ง ในระดับภูมิภาค 2 ปีต่อครั้ง และระดับนานาชาติ 3 ปีต่อครั้งเป็นอย่างน้อย 7) คณาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของไทย มีบทบาทสำคัญในการสร้างผลงานทางวิชาการจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิภาค มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งสมาคมเครือข่ายและชุมชนวิชาการและวิชาชีพในภูมิภาค 8) คณาจารย์สถาบันอุดมศึกษาของไทยมีผลงานทางวิชาการตีพิมพ์และเผยแพร่ในวารสารต่างประเทศ คณาจารย์ของไทยได้รับการยกย่องในวงวิชาการระดับนานาชาติ 9) บัณฑิตศึกษาของไทยมีความเป็นเลิศทางวิชาการ มีขีดความสามารถสูงในการศึกษาค้นคว้าวิจัย และการผลิตกำลังคนระดับสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศและภูมิภาคบัณฑิตของไทยมีศักยภาพในการเอื้ออำนวยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ประเทศเพื่อนบ้าน 10) สถาบันอุดมศึกษาไทยเปิดสอนหลักสูตรภูมิภาค ไทยศึกษาและจัดตั้งศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ศูนย์พม่าศึกษา เวียดนามศึกษา มีการแบ่งงานและร่วมงานกันเพื่อสร้างเอกลักษณ์และศักยภาพในการพัฒนาความชำนาญการเฉพาะทาง มีการเชิญนักวิชาการที่มีความรู้ความชำนาญจากต่างประเทศมาประจำเป็นระยะ มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน 11) สถาบันอุดมศึกษาไทยร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศในการจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาหรือศูนย์การสอนภาษาไทยในต่างประเทศมีการแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักศึกษาระหว่างไทยและสถาบันที่ร่วมมือ และมีอาจารย์สอนภาษาและศิลปวัฒนธรรมไทยมีโอกาสเผยแพร่ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรม 12) ประเทศไทยศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในภูมิภาค ความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและเทคโนโลยี ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านต้องการมีพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างรีบเร่งด้วยการให้การศึกษาและฝึกอบรม ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศเพื่อนบ้าน สถาบันอุดมศึกษาไทยมีศักยภาพสูงในการบริการการศึกษาและฝึกอบรม การคมนาคมสะดวกมีการเปิดถนนและสะพานมิตรภาพเชื่อมทางเหนือกับจีน ทางตะวันตกกับพม่า ทางตะวันออกกับลาว กัมพูชาและเวียดนาม ปัจจัยเหล่านี้เอื้ออำนวยต่อการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมและการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรม และศูนย์กลางการประชุมสัมมนาในภูมิภาค 13) ไทยเป็นศูนย์ข้อมูลทางด้านการอุดมศึกษาในภูมิภาค ประเทศต่างๆ ทั่วโลกสามารถที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับอุดมศึกษาในภูมิภาคนี้โดยการค้นคว้าจากประเทศไทยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 8 ถือเป็นแผนหรือแนวทางที่รัฐบาลโดยทบวงมหาวิทยาลัยจัดทำขึ้นเพื่อใช้พัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบันเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) เป็นต้นมา โดยที่แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 8 นี้ ได้กำหนดยุทธ์ศาสตร์หลักที่เกี่ยวข้องกับความเป็นนานาชาติไว้ 6 ประการ ด้วยกันคือ (สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ทบวงมหาวิทยาลัย, 2540: 8-9) 1) การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและความเป็นเลิศทางวิชาการ (Quality and Excellence) 2) การขยายโอกาสเข้าสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษา และความเท่าเทียมกันของ โอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษา (Access and Equity) 3) การเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารอุดมศึกษา และระบบการตรวจสอบ (Efficiency and Accountability) 4) ความสอดคล้องของผลผลิตของอุดมศึกษากับความต้องการของสังคมทั้งด้าน ปริมาณและคุณภาพและทันการ (Relevance and Deliver) 5) การพัฒนาความเป็นสากลของอุดมศึกษาไทยและการเปิดสู่ภูมิภาค (Internationalization and Regionalization) 6) ส่งเสริมภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการจัดการอุดมศึกษาและการใช้การ จัดการแบบเอกชนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (Privatization and Corporatization)

การส่งเสริมการศึกษานานาชาติในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย

การส่งเสริมการศึกษานานาชาติในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย ประเทศไทยมีความสำคัญของความเป็นสากลของการอุดมศึกษามีชัดเจนในนโยบายความเป็นนานาชาติของอุดมศึกษาในไทยนั้น เริ่มต้นอย่างชัดเจนในช่วงการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 ขึ้น โดยมีการเตรียมการที่จะพัฒนาความเป็นสากลของอุดมศึกษาไทย ทั้งการกำหนดในแผนพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว (พ.ศ. 2533-2542) การกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 และการสร้างความเข้าใจผ่านประชุมสัมมนาระดับชาติด้วยในเวลาเดียวกัน จากแผนพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว (พ.ศ. 2533-2547) นั้น มีการกำหนดแนวทางการพัฒนาความเป็นสากล ได้แก่ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2541: 340-343) 1) ในด้านการสอน กำหนดแนวทางส่งเสริมการศึกษานานาชาติ หลักสูตรไทยศึกษา การเรียนการสอนภาษา การพัฒนาทักษะสากล เช่น ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และภาษา 2) ในด้านการวิจัย กำหนดให้พัฒนาวิชาการไปสู่ความเป็นเลิศในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ 3) ในด้านการบริการวิชาการ กำหนดให้พัฒนารากฐานความร่วมมือด้านการบริการกับต่างประเทศ เช่น การตั้งองค์การบริการวิชาการบางประเภทร่วมกับบริษัทนานาชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ 4) ในด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมได้กำหนดแนวทางให้ส่งเสริมการสงวนความแตกต่างทางวัฒนธรรม เพื่ออยู่ร่วมกับประชาคมโลกอย่างมีศักดิ์ศรีและสันติสุข จากแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) ได้กล่าวถึงนโยบายการส่งเสริมความเป็นสากลและมาตรการต่างๆ สามารถสรุปได้ดังนี้ (ศรัณย์ เลิศรักษ์มงคล, 2543: 403-404) 1) ปรับปรุงระบบอุดมศึกษาไทยให้สามารถส่งเสริมบทบาทของประเทศที่เพิ่มขึ้นทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจในประชาคมโลก จากนโยบายดังกล่าวรัฐฯ จึงได้กำหนดให้มีมาตรการต่างๆ เข้ามารองรับ เช่นการสนับสนุนการจัดการศึกษา เพื่อให้เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งประเทศในภูมิภาคอินโดจีน ในกลุ่มอาเซียน ประชาคมเอเชียและแปซิฟิก ประชาคมยุโรปจนถึงยุโรปตะวันออก ซึ่งครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านไทยคดี ศึกษาการจัดหลักสูตรนานาชาติที่ให้โอกาสคนต่างชาติต่างวัฒนธรรมเข้ามาศึกษา การขยายเครือข่ายความร่วมมือในการผลิตบัณฑิต การวิจัย การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนนักศึกษา และนักวิชาการ ขณะเดียวกันมีการมุ่งเน้นให้มีการส่งเสริมบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้สามารถในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในเรื่องการส่งคณะผู้แทนไปเจรจาความร่วมมือการให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรม การสนับสนุนบุคคลากรอุดมศึกษาให้ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศตลอดจนการสร้างบุคลากรดังกล่าวให้มีศักยภาพในการปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศ 2) ให้มีการปรับปรุงสาระและรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อให้บัณฑิตมีความเป็นมนุษย์มีโลกทัศน์กว้างมีความเข้าใจในมรดก และวัฒนธรรมไทยสามารถวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและทักษะใหม่ที่จำเป็นยุคสารสนเทศ และการเพิ่มบทบาทของประเทศในประชาคมโลก จากนโยบายนี้รัฐฯจึงได้กำหนดมาตรการหลักไว้หลายประการ เช่น เน้นให้มีการพัฒนาหลักสูตรชุดการเรียน หลักสูตรวิชาการศึกษาทั่วไปให้มีลักษณะของการเรียนด้วยตนเอง หรือการเรียนภายใต้คำแนะนำมากขึ้น การเน้นทักษะที่สำคัญด้านภาษาและการสื่อความหมาย การใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศและการจัดการ จากข้อเสนอแนะจากการประชุมสัมมนาเรื่อง ความเป็นสากลของการอุดมศึกษาไทยที่จัดขึ้นโดยทบวงมหาวิทยาลัย ในระหว่าง 28-30 มกราคม 2543 ได้รวบรวมข้อเสนอแนะจากกรณีดังกล่าวไว้หลายประการซึ่งสอดคล้องกับแผนข้างต้นสามารถสรุปได้ดังนี้(สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2541: 343) 1.มหาวิทยาลัยไทยควรเป็นผู้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาความเป็นสากลในไทย 2.การพัฒนาความเป็นสากลของอุดมศึกษาควรเน้นที่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ยังมีการแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา การปฏิรูปเนื้อหาสาระและรูปแบบหลักสูตร การสนับสนุนทางด้านงบประมาณ เพื่อสร้างโครงสร้างและปัจจัยพื้นฐานในมหาวิทยาลัย และสนับสนุนกิจการความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนต่างๆ 3.ในระยะยาวควรเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทย โดยเฉพาะนักศึกษาทางด้านภาษาและสังคมมีโอกาสไปศึกษาระยะสั้นในต่างประเทศและเปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างประเทศเข้ามาเรียนในประเทศไทยมากขึ้น 4.ควรมีการพัฒนามาตรฐานทางวิชาการระหว่างประเทศ การพัฒนาหลักสูตรที่มีการเรียนวิชาที่มีความเป็นสากลอย่างสม่ำเสมอ 5.ควรมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในมหาวิทยาลัย เช่น หน่วยงานประสานงานด้านการศึกษานานาชาติ และระบบข้อมูลด้านการศึกษานานาชาติ 6.ควรทำความเข้าใจในระหว่างบุคคลากรของมหาวิทยาลัยให้เห็นความสำคัญและการยอมรับเป็นสากลของการอุดมศึกษา

วิวัฒนาการและความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติของสถาบันอุดมศึกษา

แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติของสถาบันอุดมศึกษา การศึกษานานาชาติ (International Education) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลกเกี่ยวกับการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ด้านการศึกษา การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือกันโดยอาศัยการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย จึงเกิดการแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ บุคลากร อาจารย์ นักศึกษา ตลอดจนเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยมีภาษากลางเป็นสื่อ (ทบวงมหาวิทยาลัย, 2534: 5) และ International Education (1988: 296) ได้ให้ความหมายการศึกษานานาชาติว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในด้านการศึกษา และวัฒนธรรมระหว่างประเทศ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะมีลักษณะเป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างประเทศที่เป็นทางการ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หมายรวมถึง การให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่ประเทศกำลังพัฒนา การติดต่อสื่อสารระหว่างนักศึกษา นักวิชาการในประเทศต่างๆ โดยเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ สารานุกรมเกี่ยวกับอุดมศึกษา ในด้านของความเป็นสากลของการอุดมศึกษา International Encyclopedia of higher Education (Knowles, 1977) ได้ให้ความหมายว่าคือ การนำแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการศึกษานานาชาติ และโครงการร่วมมือทางด้านวิชาการ ไปปฏิบัติโดยวิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา รัฐบาล นักวิชาการ และนักศึกษา สำหรับสากลศึกษา ทองอินทร์ วงศ์โสธรและคณะ (2540) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นสากลของการอุดมศึกษาว่าคือ ความพยายามของสถาบันอุดมศึกษาในการร่วมมือกับหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษา ในการร่วมมือกับหน่วยงานหรือสถาบันอุดมศึกษาในต่างประเทศ ในการดำเนินการด้านการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมในฐานะที่สถาบันอุดมศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก สำหรับ Alfonso (1990) ได้ศึกษามิติความเป็นสากลของการอุดมศึกษาและได้พัฒนาดัชนีเพื่อวัดความเป็นนานาชาติของสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้ คือ หลักสูตรต่างประเทศ หลักสูตรนานาชาติ การศึกษาดูงานในต่างประเทศ จำนวนคณาจารย์ในโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ จำนวนเงินอุดหนุนที่ได้รับเพื่อดำเนินกิจกรรมนานาชาติ และความร่วมมือในการวิจัย และการฝึกอบรมนานาชาติ นอกจากนี้ Ellingboe (อ้างถึงในพรทิพย์ กาญจนนิยต, 2547) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของความเป็นสากลของอุดมศึกษา 6 ประการ คือ 1) ภาวะผู้นำและการบริหารจัดการความเป็นสากลทั่วทั้งสถาบัน 2) ความเป็นสากลของหลักสูตร 3) การมีคณาจารย์ที่มีประสบการณ์ด้านการสอนและวิจัยในเวทีนานาชาติ 4) จำนวนของผู้เรียนในการศึกษาและวิจัยในต่างประเทศ 5) การประสมประสานคณาจารย์และนักศึกษานานาชาติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในสถาบันอุดมศึกษา และ 6) การพัฒนาหน่วยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมนักศึกษาให้มีความเป็นนานาชาติ ความเป็นสากลของการอุดมศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนาของนักศึกษาเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากวัตถุประสงค์ของการศึกษาเกี่ยวกับโลก (Global education) ที่มุ่งหมายให้นักศึกษารู้จักกาลเทศะ (time and place) ให้เข้าใจในความซับซ้อนของปัญหา ซึ่งมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เตรียมนักศึกษาเพื่อความเปลี่ยนแปลง ให้มีความคิดพินิจพิเคราะห์ ลดความเป็นท้องถิ่นนิยม ให้นักศึกษาเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ความสัมพันธ์ต่างๆ ไม่ได้คงที่แต่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (Scott, 1994: 73। อ้างถึงใน ทองอินทร์ วงศ์โสธร และคณะ 2540) ปัจจัยที่เป็นตัวเร่งของความเป็นสากลของการอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกามีหลายประการ ได้แก่ 1) ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจโลก 2) การกำหนดให้บรรจุความเป็นสากลของการศึกษาไว้ในเกณฑ์มาตรฐานของ 3) การรับรองวิทยฐานะของหลักสูตรทางด้านบริหารธุรกิจและการฝึกหัดครู 4) แรงกระตุ้นจากสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอุดมศึกษา 5) ความเป็นสากลของวิทยาการแขนงต่างๆ 6) บุคคลฝ่ายต่างๆ ได้แก่ ผู้นำ อาจารย์ นักศึกษา ซึ่งมีโลกทัศน์สากล

การนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติ

การนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติ

ในการดำเนินการวิจัยเชิงนโยบาย วิโรจน์ สารรัตนะ (2548) และ Oaks (2003) ได้แบ่งขั้นตอนในการดำเนินการวิจัยเชิงนโยบายออกเป็น 5 ขั้น ดังนี้ คือ 1) ขั้นเตรียมการ (preparation) 2) ขั้นการกำหนดกรอบแนวคิด (conceptualization) 3) การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (technical analysis) 4) การวิเคราะห์ข้อเสนอแนะ(recommendation analysis) และ 5) การสื่อสารข้อเสนอแนะ (communication)

1) ขั้นเตรียมการ (preparation) ขั้นเตรียมการเป็นการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศเบื้องต้น เกี่ยวกับสภาพในอดีต ปัจจุบัน ของบริบทนโยบายในปัญหาที่ศึกษา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในกระบวนการกำหนดทิศทางการศึกษาวิจัย ซึ่งประกอบด้วย 1) บริบทการกำหนดนโยบาย ทั้งในอดีต ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตนอกจากนี้ยังรวมถึงกลไกเชิงนโยบาย (policy mechanism) กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ (key stakeholders) และทำความเข้าใจโครงสร้างอำนาจ (power structure) ในการกำหนดนโยบาย 2) นิยาม ข้อตกลงเบื้องต้นและค่านิยมของผู้มีส่วนได้เสียที่มีต่อปัญหาที่ศึกษาเพื่อให้เกิดความชัดเจน 3) ประเภทของข้อเสนอแนะที่เป็นไปได้เกี่ยวกับปัญหาที่ศึกษามีประเด็นใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เป็นเส้นต่อเนื่อง (continuum) แบบค่อยเป็นค่อยไป (incremental change) ข้อเสนอแนะเพื่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ (fundamental change) หรือข้อเสนอแนะแบบผสม (mixed scanning) 4) ทรัพยากรที่ต้องการและจำเป็นสำหรับการวิจัย เงิน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ด้วย และเพื่อเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารในกระบวนการขั้นเตรียมการดำเนินการวิจัยให้เกิดประสิทธิภาพ มี 8 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นการเลือกปัญหาที่จะศึกษาวิจัย 2) ขั้นกำหนดประเด็นนโยบายที่สำคัญต่างๆ 3) การวิเคราะห์ความเป็นมาของประเด็นนโยบาย 4)สืบค้นงานวิจัยที่มีมาก่อนหน้า ผลที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงและความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง 5) จัดหาแผนภูมิองค์การและผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม 6) กำหนดรูปแบบกระบวนการตัดสินใจ 7)สัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้เสียเพื่อรวบรวมข้อมูล 8) สังเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ ซึ่งในขั้นนี้ เป็นความพยายามของผู้วิจัยเพื่อตอบคำถามว่า ใครคือผู้ใช้ผลการวิจัย ใครมีอำนาจในการตัดสินใจ ความผูกพันและความคาดหวังในการนำผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผลมีมากน้อยเพียงใด บริบททางวัฒนธรรมสังคมเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ มากน้อยเพียงใด มีความเป็นไปได้ ความคุ้มค่า เหมาะสม ก่อนที่จะตัดสินใจทำการวิจัย

2) ขั้นตอนกำหนดกรอบแนวคิด (conceptualization) ในขั้นตอนการกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยเชิงนโยบาย มีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ 1) การพัฒนาตัวแบบเบื้องต้นของปัญหาที่ศึกษา (developing a model of the social problem) 2) การกำหนดคำถามการวิจัย (formulating research questions) 3) การเลือกผู้ทำการวิจัย (choosing research study investigators) สำหรับกรณีการพัฒนาตัวแบบในขั้นต้นของปัญหาที่ศึกษานั้น ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ถึงนิยามปัญหา สาเหตุของปัญหา สร้างตัวแบบ กำหนดค่านิยมและข้อตกลงเบื้องต้น เพื่อนำมาสู่การกำหนดคำถามการวิจัย (research questions) ซึ่งการพัฒนาตัวแบบเบื้องต้นของปัญหาที่ศึกษาต้องอาศัยข้อมูลที่ได้ในระยะเตรียมการ และศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (literature review) ดังนั้นตัวแบบเบื้องต้น ที่แตกต่างกันจะนำไปสู่คำถามการวิจัยที่แตกต่างกันด้วยดังนั้นต้องพัฒนาขึ้นด้วยความรอบคอบ มีข้อมูลประกอบอย่างเพียงพอและเห็นพ้องต้องกันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และหากมีความเห็นขัดแย้งกัน ต้องพัฒนาตัวแบบขึ้นใหม่ได้ผสมผสานกัน หรืออาจต้องเลือกใช้ตัวแบบใดตัวแบบหนึ่ง ส่วนกรณีคำถามการวิจัย กำหนดหลังจากการพัฒนาตัวแบบเบื้องต้นแล้วเพราะคำถามการวิจัยจะนำไปสู่การวางแผนระเบียบวิธีการวิจัย และการนำผลการวิจัยไปใช้ ดังนั้นการกำหนดคำถามการวิจัยต้องคำนึงถึงขั้นตอนดังนี้ 1) กำหนดว่าผลที่คาดหวังจากการวิจัยคืออะไร เป็นไปในรูปแบบใด (incremental / fundamental / mixed) และเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายในระดับสูงหรือต่ำ 2) กำหนดประเด็นของปัญหาที่ศึกษา ควรคำนึงถึงความเป็นพหุมิติ (multi dimension) จะทำให้ได้ผลการวิจัยที่ครอบคลุม 3) กำหนดตัวแปรที่สามารถจัดกระทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงได้ (malleable variables) 4) กำหนดคำถามการวิจัยจากตัวแปรที่กำหนดที่จะนำไปสู่ผลที่คาดหวัง โดยสะท้อนถึงประเด็นปัญหา สามารถศึกษาหาคำตอบได้เหมาะสมกับเวลาและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายทั้งปัจจุบันและอนาคตและต้องแสดงถึงนัยเชิงนโยบายโดยกำหนดประเด็นให้ผู้ตัดสินใจใช้แก้ปัญหาได้ สำหรับกรณีการเลือกผู้ดำเนินการวิจัย มีทางเลือก 3 ประเด็นคือ 1) ศึกษาเป็นทีมหรือเดี่ยวควรพิจารณาจากผลกระทบ ถ้าเป็นเรื่องใหญ่มีผลกระทบมากควรมีการศึกษาเป็นทีม และต้องคำนึงถึงหลักสหวิทยาการ (interdisciplinary) 2) การเลือกภูมิหลังของผู้วิจัย 3) ที่ปรึกษาการทำวิจัย อาจเป็นทีมที่ปรึกษาหรือเป็นคณะกรรมการอำนวยการ

3) ขั้นการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (technical analysis) ในขั้นการวิเคราะห์เชิงเทคนิค เป็นขั้นตอนการตรวจสอบปัจจัย (factors) ที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหา โดยมีขั้นตอนดังนี้ คือ 1) การนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการของตัวแปร 2) การออกแบบระเบียบวิธีการวิจัย 3) การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล 4) การพัฒนาร่างข้อเสนอแนะ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 3.1) การนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการของตัวแปร (operationalization of variables) เป็นการกำหนดนิยามตัวแปรที่จัดกระทำและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ (malleable variables) ที่กำหนดในขั้นตอนกำหนดคำถามการวิจัย และอยู่ในรูปดัชนีชี้วัด (indicators) มีความเฉพาะเจาะจงและวัดได้ 3.2) การออกแบบระเบียบวิธีการวิจัย (design of study methodology) การวิจัยเชิงนโยบายมุ่งเน้นหาข้อเสนอเพื่อการตัดสินใจ ระเบียบวิธีการวิจัยสามารถนำมาดัดแปลง (adapting) ผสม (combining) หรือปรับ (improvising) ให้มีความเหมาะสมมี 7 รูปแบบ คือ 1) การสังเคราะห์ประเด็น (focused synthesis) ใช้ในกรณีข้อมูลมาจากหลายแห่ง 2) การวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary analysis) ใช้กรณีเพื่อการสร้างฐานข้อมูลใหม่ 3) การทดลองภาคสนาม (field experiments) โดยการทดลองใช้แบบหลักการสุ่ม (randomized field experiment) หรือแบบกึ่งทดลอง (quasi-experiment) 4) การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative methods) อาจเป็นการสัมภาษณ์กลุ่ม (focused group discussion) การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) 5) การสำรวจ (survey) 6) กรณีศึกษา (case study) การวิเคราะห์ต้นทุน กำไร และต้นทุน ประสิทธิผล 3.3) การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (results an conclusion) ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของข้อมูลความสามารถในการตอบคำถามการวิจัย ใช้การวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบพหุคูณ การวิเคราะห์โครงสร้างสัมพันธ์เชิงเหตุผล และเน้นผลการวิจัยเป็นสำคัญ 3।4) การพัฒนาร่างข้อเสนอแนะ (developing tentative policy recommendations) ให้นำความรู้เกี่ยวกับบริบททางสังคม การเมือง (sociopolitical context) มาพิจารณาประกอบด้วย และการให้ข้อเสนอแนะควรมีความหลากหลายทางเลือก ควรคำนึงถึงข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิบัติทั้งในระยะสั้นและระยะยาวและข้อเสนออาจเกี่ยวกับกลไกเชิงนโยบาย(policy mechanisms) ที่สนับสนุนการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ

4) ขั้นการวิเคราะห์ข้อเสนอแนะ (recommendation analysis) การวิจัยส่วนใหญ่จบลงด้วยการสรุปผลและการให้ข้อเสนอแนะการวิจัยว่า “ควรทำอะไร” แต่สำหรับการวิจัยเชิงนโยบายจะเป็นการศึกษาต่อว่า “ควรทำอย่างไร” ประกอบด้วยการดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ 4.1) การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (analysis of stakeholders) ที่มีผลต่อการตัดสินใจนโยบาย โดยอาจจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ตัดสินใจนโยบาย (decision makers) และกลุ่มผู้มีอิทธิพล (influencers) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ 1) ปริมาณทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น เงิน อาสาสมัคร การประสานงาน ข้อมูลสารสนเทศ 2) คุณลักษณะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3) ความสามารถของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หลังจากนั้นนำมาจัดทำแผนภาพโครงสร้างอำนาจ (power structure) โดยระบุกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทิศทางการสนับสนุน รวมถึงการคัดค้านสถานะอำนาจและโอกาสในการตัดสินใจ การวิเคราะห์องค์การ (analysis of organization) จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบด้านโครงสร้างองค์การเพื่อการปฏิบัติ ทรัพยากรที่จะใช้และกลไกเชิงนโยบายที่จะสนับสนุนการปฏิบัติ 4.2) การคาดการณ์ถึงผลกระทบ (predict potential consequences of recommendations) จากข้อเสนอแนะอาจพิจารณาได้ใน 3 กรณี คือ 1) ผลกระทบที่คาดหวังและไม่ได้คาดหวัง 2) ผลกระทบโดยรวมที่มีต่อนโยบายอื่นหรือแผนงานอื่น และ 3) สิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าข้อเสนอแนะนั้นไม่ได้นำไปปฏิบัติ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเกิดจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การใช้เทคนิคเดลฟาย หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยง 4.3) การคาดคะเนโอกาสในการปฏิบัติ (estimating the probability of implementation) จากผลการวิเคราะห์ศักยภาพของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ศักยภาพขององค์การ และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น พอที่จะทำให้ผู้วิจัยคาดคะเนถึง “โอกาสในการปฏิบัติ” ทั้งในแง่ความเป็นไปได้ (feasible) และการยอมรับ (acceptable) ในลักษณะคาดคะเน (subjective) จากการแปลผลข้อมูลของผู้วิจัย ซึ่งโอกาสความเป็นไปได้ประมาณ 20-40 % ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยควรมีความหลากหลายทางเลือก โดยอาจแสดงค่าเฉลี่ยเพื่อเปรียบเทียบ “ข้อเสนอทางเลือก” (alternative recommendations) แต่ละทางเลือกนั้นด้วย 4।4) การจัดเตรียมข้อเสนอแนะสุดท้าย (preparation of final recommendations) ในขั้นนี้ผู้วิจัยจะต้องตั้งคำถามว่า “ข้อเสนอแนะนั้นจะมีผลต่อปัญหาที่ศึกษามากน้อยเพียงใด” ซึ่งหากประเมินได้ต่ำกว่า 60% ให้ปฏิบัติโดย 1) ยอมรับในความเป็นไปได้ที่ต่ำนั้น 2) เปลี่ยนแปลงเป้าหมายของข้อเสนอ และ 3) ปรับแก้ไขข้อเสนอใหม่โดยพิจารณาประเด็นความเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปกับการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน และต้องวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียและวิเคราะห์องค์การ

5) ขั้นการสื่อสารผลการวิจัยต่อผู้ตัดสินใจนโยบาย การสื่อสารผลการวิจัยต่อผู้ตัดสินใจนโยบายถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อให้ผลการวิจัยได้รับการพิจารณาและนำไปสู่การปฏิบัติ และหากว่าไม่มีการสื่อสารผลงานวิจัยต่อผู้ตัดสินใจนโยบาย ทั้งนี้ก็ยังถือว่ายังไม่สิ้นสุดดังนั้นการสื่อสารที่มีความเหมาะสมคือ การสื่อสารแบบสองทาง (two way communication) และควรเลือกวิธีการและสื่อให้มีความเหมาะสมเพื่อให้ผู้ตัดสินใจนโยบายรับรู้ เข้าใจ และยอมรับในผลการวิจัย โดยเสนอแนะว่าการสื่อสารด้วยคำพูด (oral communication) ได้ผลที่ดีกว่าการเขียน (written communication) จากแนวคิดการวิจัยเชิงนโยบายดังกล่าวสรุปได้ว่านโยบายมีความสำคัญยิ่งต่อการบริหารงานในทุกองค์การโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านการจัดการศึกษา ทั้งนี้ถือว่านโยบายเป็นตัวกำหนดชี้นำทิศทางและแนวทางการปฏิบัติเพื่อการพัฒนาไปสู่เป้าหมายขององค์การ ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติและกลไกเชิงนโยบายที่จะสนับสนุนให้การดำเนินการจัดการศึกษาบรรลุผลนั่นคือ เป้าหมายการพัฒนาผู้เรียนซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง และในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ประสบความสำเร็จและได้ผลดีนั้นนอกจากผู้บริหารได้พิจารณาเลือกใช้ข้อเสนอเชิงนโยบายที่มีความเหมาะสมกับหน่วยงาน องค์การ แล้วยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่กำหนดความล้มเหลวหรือความสำเร็จของการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ จากการศึกษาผลงานวิจัยและการทบทวนผลงานทางวิชาการของ ศุภชัย ยาวะประภาษ (2538) พบว่าปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จและความล้มเหลวของหน่วยงานสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) ในด้านลักษณะของนโยบาย พบว่านโยบายที่มุ่งให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ น้อยที่สุด นโยบายจะประสบผลสำเร็จมากกว่านโยบายที่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ มาก นโยบายที่มีการแพร่หลายการรับรู้จะส่งผลได้ดีกว่านโยบายที่จำกัดการรับรู้ นโยบายที่สามารถทดลองปฏิบัติก่อนจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่านโยบายที่ไม่ผ่านการทดลองใช้ และนโยบายที่สามารถชี้ให้เห็นผลที่ชัดเจนและสามารถส่งข้อมูลย้อนกลับจะเห็นผลสำเร็จของนโยบายที่มีความชัดเจนกว่า 2) ในด้านวัตถุประสงค์ของนโยบาย พบว่า ความชัดเจนของวัตถุประสงค์ ความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ ความยากง่ายในการรับรู้วัตถุประสงค์ ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของนโยบาย ความเที่ยงตรงของข่าวสารจากผู้นำนโยบายสู่ผู้ปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้ถ้ามีความชัดเจนนั่นคือความสำเร็จของนโยบายด้วย 3) ความเป็นไปได้ทางเทคนิคหรือทฤษฎี การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วส่งผลต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ ดังนั้นเพื่อความสำเร็จของการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับการนำเสนอร่างนโยบายต้องไม่ยุ่งยากซับซ้อน การเลือกทฤษฎีที่เชื่อถือได้และมีความเหมาะสมจะทำให้กรอบการมองปัญหาอย่างถูกต้อง ชัดเจนขึ้น และเทคโนโลยีที่เลือกใช้จะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมที่จะนำนโยบายไปปฏิบัติ 4) ความพอเพียงของทรัพยากร ได้แก่ งบประมาณ กำลังและคุณภาพของบุคลากร ความพร้อมของปัจจัยบริการ เช่น วัสดุอุปกรณ์ สถานประกอบการ เครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวก 5) ลักษณะของหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ เช่น ประเภทของหน่วยงาน หน่วยงานใหม่ที่ถูกผลักดันจากอิทธิพลการเมืองหรือหน่วยงานเดิมที่มีความพร้อมทางทรัพยากรอยู่แล้ว โครงสร้างและการลำดับขั้นการบังคับบัญชาถ้าเป็นหน่วยงานเล็กจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จได้เร็วกว่าหน่วยงานขนาดใหญ่ ด้านการสื่อสารแบบเปิดที่มีความสัมพันธ์ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ด้านความสามารถของผู้นำ ถ้าผู้นำที่เข้มแข็งจะสามารถระดมความสนับสนุนจากแหล่งต่างๆ ได้ดีและสามารถนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่ประสบผลสำเร็จได้ 6) ทัศนคติของผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ แต่จะต้องมีทัศนคติที่ดีกับวัตถุประสงค์ของนโยบาย ผู้ปฏิบัติต้องมีความเข้าใจ เห็นด้วยและมีความผูกพัน เพื่อขจัดความขัดแย้งซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติตามนโยบาย 7) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่างๆ ที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งได้แก่ จำนวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ดั้งเดิม จำนวนจุดตัดสินใจถ้ามีมากจะส่งผลให้การปฏิบัติตามนโยบายมีความล่าช้า และการแทรกแซงจากหน่วยงานระดับบนถ้ามีมากเกินไป นโยบายสู่การปฏิบัติจะประสบปัญหาได้ นอกจากนี้จากการศึกษาของสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ (2540) พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ได้แก่ แหล่งที่มาของนโยบาย ความชัดเจนของนโยบาย การสนับสนุนนโยบาย ความซับซ้อนในการบริหาร สิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัติ และการจัดสรรทรัพยากร เพื่อการสนับสนุนการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เหมาะสมและเพียงพอ และจากศึกษาผลการประเมินการนำนโยบายการศึกษาไปสู่การปฏิบัติของ Green & Waterman (1996) พบว่าการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น เช่น ความเป็นไปได้ของแผนงาน โครงการ ตามนโยบายของรัฐที่นำไปปฏิบัติในพื้นที่ต่างกัน มีปัญหาต่างกัน การช่วยเหลือจากนักวิชาการเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของการบรรลุผลตามนโยบาย และความสำเร็จของโครงการต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์การและบุคคลต่างๆ นอกจากนี้ในประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายการกระจายอำนาจการจัดการศึกษา ของ Wohistetler & Mohrman (1996) พบว่านโยบายการกระจายอำนาจทางการศึกษาจากส่วนกลางไปยังสถานศึกษา ทั้งนี้โดยให้ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในท้องถิ่นเป็นผู้ควบคุมดูแล ได้แก่ผู้บริหารโรงเรียน ครู ผู้ปกครองและสมาชิกในชุมชนพบว่าความสำเร็จของนโยบายเกิดจากการให้อำนาจการตัดสินใจในเรื่องนโยบาย การปฏิบัติและสั่งการ ในเรื่องงบประมาณและหลักสูตร และนอกจากนี้ควรมีการให้ความรู้แก่บุคลากรในองค์กรเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการ ทักษะงาน (job skills) ทักษะการทำงานเป็นทีม (teamwork) การให้ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงรายรับ รายจ่ายขององค์การ และการใช้ระบบการให้รางวังที่พิจารณาจากผลงานขององค์กรและผลที่เกิดจากแต่ละบุคคล

องค์ประกอบและรูปแบบของนโยบาย

องค์ประกอบและรูปแบบของนโยบาย องค์ประกอบของนโยบาย หมายถึง ปัจจัยที่เป็นคุณสมบัติสำคัญพื้นฐานของนโยบายสาธารณะ การพิจารณาองค์ประกอบของนโยบายเพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นนโยบายหรือสิ่งใดไม่เป็นนโยบายนี้ พิจารณาจากทัศนะที่สุรนาท ขมะณรงค์ (2540) แบ่งไว้เป็น 4 แบบ คือ 1) เหตุผลของการกำหนดนโยบาย (rational) เป็นเหตุผลและสาเหตุที่มาของการกำหนดนโยบายในเรื่องต่างๆ ที่รัฐกำหนดขึ้น หากนโยบายที่กำหนดขึ้นมีเหตุผลเพียงพอ สาธารณชนก็ยอมรับได้ ดังนั้นตัวนโยบายต้องอ้างอิงถึงสาเหตุที่มาและเหตุผลในการกำหนดนโยบายด้วย 2) เป้าหมายของนโยบายหรือผลที่คาดว่าจะได้รับจากนโยบาย (targets or ended result) เป็นการกำหนดเป้าหมายของนโยบายถือเป็นจุดหมายปลายทางที่รัฐบาลมุ่งไปให้ถึง แต่ข้อสำคัญเป้าหมายต้องมีความชัดเจนเพื่อให้ผู้ปฏิบัติตามนโยบายมีหลักยึดถือที่ชัดเจน 3) วิธีการหรือกลวิธีที่จะทำให้นโยบายบรรลุเป้าหมาย (means or strategies) เป็นวิธีการปฏิบัติ (means) เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย (end) ของนโยบายตามที่กำหนดไว้ นโยบายหนึ่งๆ อาจประกอบด้วยกลวิธีหลายกลวิธีที่ผู้ปฏิบัติต้องเลือกกลวิธีที่ดีที่เหมาะสมไปใช้ 4) ทรัพยากรหรือปัจจัยที่สนับสนุนการดำเนินนโยบาย (resources) หมายถึงทรัพยากรที่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินนโยบายตามวิธีการที่กำหนดบรรลุผล และยังมีทรัพยากรที่เป็นองค์ประกอบของนโยบายเช่น คน เงิน วัสดุ เครื่องมือ เครื่องจักร ฯลฯ

นอกจากนั้นอาจพิจารณาได้จากที่ ประชุม รอดประเสริฐ (2545) ได้กล่าวว่าปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของนโยบาย สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท คือ 1) ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน (fundamental factor) หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา หากไม่คำนึงถึงอาจทำให้นโยบายขาดความสมบูรณ์และไม่สามารถปฏิบัติได้ เช่น ปัจจัยที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ปัจจัยที่เกี่ยวกับผู้กำหนดนโยบาย วิธีการหรือกระบวนการในการดำเนินนโยบาย ปัจจัยที่เกี่ยวกับข้อมูลและเอกสารต่างๆ 2) ปัจจัยที่เป็นสิ่งแวดล้อม (environmental factors) หมายถึงสิ่งแวดล้อมในสังคมที่ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึง อาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมในสังคมมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบาย เช่น ปัจจัยทางการเมืองและวัฒนธรรมการเมือง ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ จากการศึกษาองค์ประกอบของนโยบายอาจกล่าวได้ว่านโยบายและกลยุทธ์ต่างเป็นประเภทของแผนงาน (types of plan) อันเป็นผลที่ได้จากกระบวนการวางแผน (planning) ดังที่ กิ่งพร ทองใบ (2547) กล่าวว่า การวางแผนเป็นหน้าที่ทางการบริหาร (managerial functions) หมายถึงกระบวนการในการกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในอนาคตขององค์การเพื่อให้เป็นแนวทางในการหาวิธีดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการคือ 1) จะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคต 2) จะต้องเป็นการกระทำ และ 3) จะต้องเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องจนสำเร็จตามเป้าหมาย ดังนั้นการวางแผนจึงเป็นกระบวนการ วิเคราะห์เพื่อเชื่อมโยงระหว่างปัจจุบันเข้ากับอนาคตด้วยการพิจารณากำหนดวัตถุประสงค์และการเลือกแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เรียกว่ากลยุทธ์ ส่วนแนวทางในการตัดสินใจดำเนินงานระหว่างทางเลือกทั้งหลาย เรียกว่านโยบาย ดังนั้นกลยุทธ์และนโยบายจึงเป็นแผนระยะยาวขององค์การที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

ความหมายและความสำคัญของนโยบาย

ความหมายของคำว่านโยบาย (policy) มีหลากหลายทัศนะดังนี้ เช่น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2546) ให้ความหมายว่านโยบายคือหลักและวิธีปฏิบัติซึ่งถือเป็นแนวดำเนินการ ส่วน Greenwood (1965) Haimann & Scott (1974) Anderson (1975) Terry (1977) และ Dye (1981) กล่าวว่า นโยบายคือหลักและวิธีการปฏิบัติซึ่งถือเป็นแนวทางดำเนินการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปโดยถูกต้องและบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และ Jansson (1944) ได้ให้ความหมายนโยบายว่า เป็นกลยุทธ์ที่เลือกสรรแล้วนำไปสู่การแก้ปัญหา ดังนั้นนโยบายเปรียบเสมือนแนวทางการแก้ปัญหา การกำหนดนโยบายจึงเป็นความพยายามขององค์กรเพื่อนำไปสู่กระบวนการแก้ปัญหาและตอบสนองต่อความต้องการของบุคคลในองค์กร สอดคล้องกับนิยามที่วิโรจน์ สารรัตนะ (2548) ได้กล่าวถึงดังนี้ว่า นโยบายหมายถึงข้อความที่บอกให้ทราบถึงทิศทางของการเปลี่ยนแปลงองค์การหรือของสังคม ทิศทางดังกล่าวอาจจะอธิบายถึงเรื่องอะไร เพื่ออะไร อย่างไร และเพียงใด ของความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันได้จำแนกความหมายของนโยบายออกเป็น 3 กลุ่มของความหมาย โดยกลุ่มแรก หมายถึง ข้อความที่บอกให้ทราบถึงกิจกรรมหรือการกระทำ (activity or action) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างซึ่งในที่สุดจะแปรรูปออกมาเป็นแผนงานโครงการที่กำหนดขึ้น ข้อความเชิงนโยบายในความหมายนี้จะบอกถึงเป้าหมายปลายทางของกิจกรรม แนวทางปฏิบัติ และคุณประโยชน์ของกิจกรรมหรือการกระทำที่กำหนดนั้น กลุ่มความหมายที่สอง หมายถึงข้อความที่บอกให้ทราบถึงแนวทางหรือวิธีการ (strategy or means) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เพื่อเป็นเครื่องชี้นำและกำหนดแนวทางปฏิบัติจากปัจจุบันสู่อนาคต กลุ่มความหมายที่สาม หมายถึงข้อความที่บอกให้ทราบถึงคุณค่าและการตัดสินใจ (value and decision) ที่ได้เลือกสรรแล้วซึ่งนโยบายประเภทนี้จะบ่งบอกทางเลือกที่มีหลายทางว่าทางเลือกใดดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุด และจากแนวคิดที่กล่าวว่านโยบายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารนั้น ประชุม รอดประเสริฐ (2545) ศิริอร ขันธหัตถ์ (2539) ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2539) ได้แสดงทัศนะที่สอดคล้องกันว่านโยบายเป็นกรอบสำหรับการตัดสินใจที่เหมาะสมของผู้บริหารเพื่อเป็นแนวทางในอันที่จะปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายและช่วยให้ผู้บริหารสามารถประสานความพยายามในการทำหน้าที่ของสมาชิกภายในองค์การว่าได้ทำตามนโยบายหรือไม่ นอกจากนี้วิโรจน์ สารรัตนะ (2545) ได้กล่าวถึงนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ (strategic policies) ว่าเป็นข้อความที่ใช้เป็นแนวความคิดหรือเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่เป็นข้อความแสดงถึงกฎพื้นฐาน (ground rule) เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากความหมายของคำว่านโยบายดังกล่าวอาจมองนโยบายใน 4 ทัศนะดังนี้คือ 1) ในทัศนะเพื่อการกำหนดเป้าหมายของสิ่งที่ต้อการจะทำ 2) ในทัศนะการกำหนดแนวทางใหม่ๆ หรืออาจรวมถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ กลยุทธ์ และยุทธวิธี เพื่อเป็นเครื่องชี้แนวทางปฏิบัติในอันที่จะนำไปสู่การบรรลุผลงานตามนโยบายนั้นๆ 3) ในทัศนะการกำหนดปัจจัยและสิ่งสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ฝ่ายปฏิบัติการสามารถลงมือปฏิบัติตามแนวทางที่วางไว้และเกิดผลดีต่อองค์การ 4)ในทัศนะของแผนงานโครงการ นั่นคือ การปฏิบัติตามนโยบายเพื่อให้บรรลุผลโดยแปลงจากนามธรรมให้เป็นรูปธรรม สำหรับวิธีการวิจัยนี้ ได้สรุปนิยามของนโยบายว่านโยบายเปรียบเสมือนเครื่องมือสำหรับผู้บริหารเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดทิศทาง เป้าหมายสู่ความเป็นนานาชาติของมหาวิทยาลัยราชภัฏ และเป็นเครื่องชี้นำการกำหนดแนวทางการปฏิบัติจากปัจจุบันสู่อนาคต เพื่อบอกให้ทราบ มีหลักและแนวทางการดำเนินงานที่ประกันความสำเร็จทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ที่ชัดเจนสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้บริหารในการตัดสินใจหรือให้ผู้เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวคิดหรือวิถีทางในการดำเนินการเพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยนโยบายจะเป็นกรอบกว้างๆ หรืออาจมีความชัดเจนเพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องที่ประกอบด้วยแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมเพื่อเป็นแนวทางไปสู่การปฏิบัติด้วย ทวีป ศิริรัศมี (2544) ได้กล่าวถึงความสำคัญของนโยบายต่อการบริหารที่สอดคล้องกันว่า นโยบายเปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือสำหรับผู้บริหาร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางและเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาองค์การ และนำมาเป็นกรอบชี้นำการปฏิบัติ (course of action) นโยบายอาจเป็นแนวทางดำเนินงานทั้งในระดับกว้าง และในระดับองค์การ ซึ่งมีความสำคัญต่อการใช้ดุลพินิจของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในระดับต่างๆ ให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์ นโยบายและการบริหารมีความสำคัญพันธ์กันเพราะนโยบายเป็นเครื่องบ่งชี้ทิศทางการบริหารงาน เป็นข้อมูลที่ผู้บริหารพิจารณาใช้เพื่อการตัดสินใจสั่งการดังนั้นนโยบายมีความสำคัญต่อการบริหารในลักษณะดังนี้ คือ 1) นโยบายช่วยให้ผู้บริหารทราบว่าใครจะทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร (who get what when and how) (Laswell & Kaplan, 1970) และใช้ปัจจัยอะไรบ้าง นโยบายช่วยให้ผู้บริหารปฏิบัติงานต่างๆ อย่างมีความมั่นใจ เพราะนโยบายเป็นทั้งแผนงานเครื่องชี้ทิศทางและหลักประกันที่ผู้บริหารทุกระดับชั้นต้องยึดถือ 2) นโยบายช่วยให้บุคลากรทุกระดับชั้นในองค์การเข้าใจภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัดรวมทั้งวิธีการที่จะปฏิบัติภารกิจให้ประสบผลสำเร็จโดยไม่ซ้ำภาระหน้าที่ของหน่วยงานอื่นๆ ในองค์กรเดียวกัน 3)นโยบายก่อให้เกิดเป้าหมายในการปฏิบัติงาน การบริหารงานโดยมีเป้าหมายทำให้ประหยัดเงิน เวลา บุคลากร รวมถึงความสามารถ หรือศักยภาพ (potential) ของบุคลากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายขององค์การหรือหน่วยงานอย่างมีประสิทธิผล 4) นโยบายที่ดีจะช่วยสนับสนุนส่งเสริมการใช้อำนาจของผู้บริหารให้เป็นไปโดยถูกต้องอย่างมีเหตุผลและมีความยุติธรรมอันนำมาซึ่งความเชื่อถือ ความจงรักภักดี และความมีน้ำใจในการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา 5) นโยบายช่วยให้เกิดการพัฒนาการทางการบริหารเพราะนโยบายจะพัฒนาผู้บริหารให้รู้จักคิดทำนโยบายขึ้น (think for) แทนการคิดปฏิบัติตาม (think by) นอกจากนี้ ประชุม รอดประเสริฐ (2545) วิโรจน์ สารรัตนะ (2543) กาญจนา พงษ์ใหม่ (2541) Massie & Douglas (1981) ได้กล่าวถึงความสำคัญของนโยบายกับการบริหารในทัศนะที่ตรงกันหลายประการดังนี้คือ 1) นโยบายเป็นสิ่งที่กำหนดล่วงหน้า ช่วยลดการใช้ความคิดที่จะพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ มากมายให้ลดน้อยลงและช่วยประหยัดเวลา 2) ช่วยให้การประสานงาน การตัดสินใจของผู้บริหารในฝ่ายต่างๆ ขององค์การให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 3) ช่วยให้เกิดความมั่นใจในองค์การ และลดความสับสนของสมาชิกเพราะสมาชิกเข้าใจเป้าหมายและทิศทางการปฏิบัติงาน 4) ช่วยกระตุ้นให้การตัดสินใจของผู้บริหารเป็นไปอย่างมีพลัง ลดความไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจสอดคล้องกับแนวคิดของผู้บริหารระดับสูงหรือไม่ 5) และยังเป็นกรอบการตัดสินใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ช่วยให้การมอบหมายอำนาจทำได้ดีขึ้น 6) ช่วยให้เกิดความเสมอภาค ยุติธรรม เที่ยงธรรม ความถูกต้อง และมีความชัดเจนมากขึ้นเนื่องจากมีการตัดสินใจที่สอดคล้องกัน การบริหารงานสถานศึกษาจะประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับลักษณะที่ดีของนโยบาย ดังที่วิโรจน์ สารรัตนะ (2548) กล่าวถึงในประเด็นต่างๆ ดังนี้ คือ 1) นโยบายที่ดีต้องมีเป้าหมายที่ส่งผลประโยชน์แก่องค์การหรือประชาชนโดยส่วนรวมมากที่สุด 2) นโยบายที่ดีควรจะครอบคลุมภารกิจทุกด้านและมีความสอดคล้อง สนับสนุนซึ่งกันและกัน ไม่ขัดแย้งกัน 3) นโยบายที่ดีควรได้มาจากกลั่นกรองถึงความสำคัญหรือความต้องการ 4) นโยบายที่ดีควรประกอบด้วยเป้าหมาย แนวทาง และกลวิธีที่ดี ดำเนินการได้รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด 5) นโยบายที่ดีต้องมีเนื้อหาเป็นหลักในการดำเนินงานและมีหลักประกันในการประเมินความสำเร็จทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 6) นโยบายที่ดีจะเป็นข้อความที่ชัดเจน ถ่ายทอดไปสู่ผู้ปฏิบัติได้โดยง่ายและมีความเข้าใจตรงกัน ลักษณะของนโยบายที่ดีตามทัศนะดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดของประชุม รอดประเสริฐ (2545) และ Mondy (อ้างถึงใน ประชุม รอดประเสริฐ, 2545) ที่กล่าวว่านโยบายที่ดีมีคุณลักษณะดังนี้ 1) นโยบายที่ดีต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์การและสามารถช่วยให้การดำเนินงานบรรลุถึงเป้าประสงค์ได้ 2) นโยบายที่ดีต้องกำหนดขึ้นจากฐานข้อมูลที่เป็นจริง 3)นโยบายที่ดีต้องได้รับการกำหนดขึ้นก่อนที่จะมีการดำเนินงานและกำหนดกลวิธีตลอดจนจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมแก่การดำเนินงาน 4) นโยบายที่ดีควรกำหนดขึ้นเพื่อสนองผลประโยชน์ต่อบุคคลโดยส่วนรวมและต้องมีการประสานงานร่วมกัน 5) นโยบายที่ดีต้องเป็นถ้อยคำที่กะทัดรัด ใช้ภาษาเข้าใจง่ายและเป็นลายลักษณ์อักษร 6) นโยบายต้องมีขอบเขตและระยะเวลาการใช้ และควรมีความยืดหยุ่นแต่มั่นคงอยู่บนหลักการและสอดคล้องกับระเบียบที่ถูกต้อง 7) นโยบายที่ดีต้องครอบคลุมถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 8) นโยบายที่ดีต้องสอดคล้องกับปัจจัยภายนอกองค์การ 9) นโยบายต้องสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความจำเป็นและอย่างมีเหตุผล 10) นโยบายต้องเป็นเหตุเป็นผลและสามารถนำไปปฏิบัติได้และต้องได้รับการตรวจสอบและทบทวนเป็นระยะๆ ซึ่งสอดคล้องกับที่กรมการศึกษานอกโรงเรียน (2537) ได้กำหนดไว้ดังนี้ คือ 1) สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์การและช่วยให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย 2) นโยบายที่ดีต้องกำหนดขึ้นจากข้อมูลที่เป็นจริง 3) นโยบายที่ดีต้องสอดคล้องกับสภาวการณ์ในขณะนั้นและเหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่ 4) นโยบายที่ดีควรกำหนดขึ้นเพื่อสนองประโยชน์ให้กับบุคคลโดยส่วนรวมและจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็น 5) นโยบายที่ดีต้องเป็นถ้อยคำกะทัดรัด ใช้ภาษาเข้าใจง่าย แถลงเป็นลายลักษณ์อักษรที่สมาชิกทุกคนในองค์การเข้าใจได้ 6) นโยบายที่ดีต้องมีขอบเขตและระยะเวลาใจการใช้ 7) นโยบายที่ดีต้องครอบคลุมถึงสภาวการณ์ในอนาคตด้วย และ 8) นโยบายที่ดีต้องสอดคล้องกับปัจจัยภายนอกองค์การ จากที่กล่าวมาเห็นได้ว่านโยบายมีความสำคัญต่อการบริหาร เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน ที่ต้องมีความชัดเจนในวัตถุประสงค์ว่าใครจะทำอะไร เมื่อไร เท่าใด และอย่างไร เพื่อให้นโยบายสามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุผลและสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และสังคมโดยรวมถึงความสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมต่างๆ และนโยบายที่ดีต้องมีความชัดเจน กำหนดขึ้นจากข้อมูลที่เป็นจริง ใช้ภาษาง่ายๆ ที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน มีการกำหนดระยะเวลาการใช้ และยังสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและสังคมโดยรวม สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและมีความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

Rahm Emanuel คือใคร มีบทบาทอะไรในคณะรัฐมนตรีของ Obama

Rahm Emanuel เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1959 เป็นนักการเมือง อเมริกัน ขณะนี้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการให้ รัฐบาลของ Barack Obama. ก่อนหน้านี้เขาทำหน้าที่เป็นสมาชิก ประชาธิปไตย ของ สหรัฐอเมริกาสภาผู้แทนราษฎร, ตัวแทน อำเภอเกี่ยวกับรัฐสภาอิลลินอยส์ของ 5 จาก 2,003 จนกว่าจะลาออกของเขาใน 2,009 จะใช้ตำแหน่งปัจจุบันของเขาใน รัฐบาลของโอบาม่า Emanuel ดำรงตำแหน่งด้านประชาธิปไตยเกี่ยวกับสภานิติบัญญัติโดยเป็นคณะกรรมการ ระหว่าง 2,006 เลือกตั้งระยะกลาง Democrats ในช่วงปี 2,008 ในปี 2006 ได้รับเลือก Emanuel ประธาน ประชาธิปไตยคองเกรส. สองวันหลังจากชนะการเลือกตั้ง Obama ของถูกแต่งตั้งให้เป็นเสนาธิการเริ่มงานปัจจุบันของเขาที่ 20 มกราคม २००९ Rahm Emanuel มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการเมือง หรือ "Senior Political Adviser" ห้องทำงานของ Rahm Emanuel อยู่ติดกับห้องรูปไข่ในทำเนียบขาว (ห้องทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐทุกคน) จากตรงนั้นทำให้ Rahm Emanuel สามารถจะตรวจสอบได้ว่าใครเข้านอกออกใน และกำลังเกิดอะไรขึ้นในห้องทำงานประธานาธิบดีได้ตลอดเวลา จริงๆแล้วบทบาทของ Rahm Emanuel คือการระดมเงินทุนเพื่องานการเมืองและสร้างความสัมพันธ์กับสาธารณะ Rahm Emanuel เป็นยิ่งกว่า “พ่อครัวยิวในทำเนียบขาว” และที่จริงยิ่งกว่าจริงก็คือขณะที่ Rahm Emanuel ทำหน้าที่ถือถุงเงินให้คลินตัน เขาก็ทำหน้าที่เป็นสายลับอิสราเอลที่อยู่แนวหน้าที่สุดเหนือกว่าสายลับยิวคนใดในโลก คือสายลับที่อยู่เคียงข้างประธานาธิบดีสหรัฐวันละ 18 ชั่วโมง ในยุคของคลินตัน เงิน กับ การเมือง ไม่ได้เป็นเสมือนคนละด้านของเหรียญ อย่างที่ใครๆเคยคิด และอาจกล่าวได้ว่า ยุคสมัยของคลินตันเงินกับการเมือง อาจกลายเป็นเรื่องเดียวกัน มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป เพราะเงินกับการเมืองที่ไม่ควรมาพร้อมกันนี่เองที่ทำให้ Rahm Emanuel ต้องวางตัวเป็นอิสระ ต่อหน้าคนอื่นต้องทำตัวห่างๆคลินตัน เพื่อแยกจากภาพลักษณ์ของคลินตัน Rahm Emanuel เป็นตู้ ATM ให้คลินตัน แล้วก็ไม่ใช่ตู้ ATM ตามข้างถนนทั่วไป แต่เป็น ATM ที่เติมเงินได้เฉพาะเงินยิว พ่อค้ายิวเติมเงิน ให้คลินตันได้หยิบมาใช้สอยทางการเมืองได้อย่างสะดวกสบายมากมายเท่าไหร่ก็ได้ แล้วก็เงินในตู้ ATM พวกนี้ นี่แหละที่แซะเก้าอี้ จอร์จ บุช ตัวพ่อ กลับไปนอนแอ๊งแม๊ง เป็นตาแก่อยู่ที่บ้าน ว่ากันว่าถ้าใครทำเข็มหล่นในทำเนียบขาว คนที่ได้ยินคนแรกก็คือนาย Rahm Emanuel นี่แหละ ความเป็นไปในทำเนียบขาวน้อยมากที่เขาจะไม่รู้เรื่อง॥ ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกับบรรดาล๊อบบี้ยิสต์ยิว มีหรือที่เรื่องพวกนี้จะไม่ไปเข้าหู คนของอิสราเอลพวกนั้น เรื่องของ Rahm Emanuel เป็นเรื่องที่รู้เช่นเห็นชาติกันโดยทั่วไปในหมู่บรรดาผู้บริหารชั้นนำในพรรคเดโมแครตเป็นอย่างดี แต่ใครจะสนใจ॥ก็อาจมีบ้างสักสองสามคนที่อยากปากโป้งเรื่องนี้ออกมา แต่ก็อย่างว่าแหละ ประธานาธิบดียังเอาอยู่ นับประสาอะไรกับคนปากพร่อยไม่กี่คนที่พูดไปก็ไม่มีใครฟัง อำนาจเร้นลับที่ครอบงำทำเนียบขาว มีอำนาจเหนือรัฐบาลคลินตัน-อัล กอร์ ที่แท้ก็คืออำนาจที่มาจากผลประโยชน์ของธุรกิจการเมือง Rahm Emanuel เป็นประชาชนสองสัญชาติ คือเป็นทั้งอิสราเอลและอเมริกันมาตั้งแต่อายุ 18 ตอนที่เขียนบทความนี้เขาอายุ 36 ปี (ปัจจุบัน Rahm Emanuel อายุ 47 ปี เท่ากับบารัค โอบามา) พ่อของ Rahm Emanuel เป็นพวกกองกำลังขวาจัดติดอาวุธใต้ดินในยุค 40 เป็นกองกำลังกลุ่มเดียวกันที่บุกเข้าไปก่อการสังหารโหดชาวอาหรับในเหตุการณ์ที่หมู่บ้านดีร์ ยาซีน (9 เมษายน 1948 พลเรือนชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตในเหตุการณ์ 350 คน ส่วนใหญ่เป็นสตรีและเด็ก-:ผู้แปล) และเป็นไปได้ที่จะเป็นกองกำลังกลุ่มเดียวกันนี่เองที่ ลอบสังหารเจ้าหน้าทางการทูตของสหประชาชาติ เคาน์ เบมาโดตี้ Rahm Emanuel ยกเลิกสัญชาตยิวเพื่อประโยชน์ทางภาษี แต่ Rahm Emanuel ไม่มีวันที่จะยกเลิกความจงรักภักดี และความรักชาติ ที่เขามีให้อิสราเอลอย่างเด็ดขาด ระหว่างปี 1991 ในช่วงสงครามอ่าวครั้งแรกในยุคบุชตัวพ่อ Rahm Emanuel ได้สมัครเป็นกองกำลังอาสาสมัครเข้ารับราชการในกองทัพบกอิสราเอล โดยตำแหน่งนี้ไม่ต้องร่วมรบในแนวหน้า แต่เป็นการทำงานเพื่อสนับสนุนกองทัพในทุกรูปแบบรวมทั้งเป็นสายลับหลังจาก Rahm Emanuel คืนสัญชาติยิวไปได้เพียงปีเดียว ในปี 1980 Rahm Emanuel ก็กระโดดเข้าสู่วงการเมืองภายใต้ร่มเงาองค์กรลอ๊บบี้ยิสต์ของยิว มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งที่คนในวงการเมืองอเมริกันรู้ดี ว่าอะไรทำให้ Rahm Emanuel โดดเข้าสู่วงการเมืองใต้เงาอิสราเอลล็อบบี้ยิสต์ เรื่องมีอยู่ว่า Paul Findley วุฒิสมาชิกจากสปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์ มีแนวทางการเมืองค่อนข้างโปรปาเลสไตน์ และสนับสนุน PLO, อิสราเอลไม่ค่อยพอใจและอยากให้ Paul Findley ถอนตัวจากการสนับสนุนปาเลสไตน์ Rahm Emanuel ถูกส่งมาทำงานนี้ โดยแทรกซึมมาทำงานด้านการเงิน และการเมือง ในตำแหน่งผู้อำนวยการการเงินพรรคเดโมแครต แทนเดวิด โรบินสัน ผู้อำนวยการคนเก่า คนที่สนับสนุนทางการเงินให้กับวุฒิสมาชิก Paul Findley มาเป็นเวลายาวนาน ...การแทรกตัวเข้าไปในเดโมแครตเพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอิสราเอล เป็นผลงานที่ทำให้ Rahm Emanuel ได้รับเครดิต และความชื่นชมจากบรรดาอิสราเอลล็อบบี้ยิสต์เป็นอันมาก ตั้งแต่ Rahm Emanuel แฝงตัวเข้ามาเป็นคนวงในของเดโมแครต เขาก็ไม่เคยทำงานให้อิสราเอลล็อบบี้ยิสต์แบบสายตรงให้ใครเห็นอีกเลย พูดง่ายๆว่าแทบไม่มีใครได้ทันรู้สึกตัวเลยว่า Rahm Emanuel มาจากไหนและเคยทำงานให้ใคร ต่างกับอีกสองคน คือ Martin Indyk ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศด้านกิจการตะวันออกกลาง กับ Dennis Ross นักการทูตตะวันออกกลาง ที่โฉ่งฉ่างกว่า ทำงานเพื่อผลประโยชน์อิสราเอลอย่างออกหน้าออกตา ทั้ง Martin Indyk และ Dennis Ross เป็นเพื่อนซี้ของ Rahm Emanuel และเป็นเพื่อนต่างวัยแต่ใจเดียวกันกับ Wolf Blitzer ผู้ดำเนินรายการคนดังขวัญใจ ชาวยิวจาก CNN เจ้าของรายการ The Situation Room (ใครนึกไม่ออกก็นึกถึงผู้ดำเนินรายการโต้วาทีระหว่างแมคเคนกับโอบามาในระหว่างการรณงค์เลือกตั้ง 2008 -:ผู้แปล) ที่ว่าใจเดียวกันก็คือ ตัวอเมริกันแต่ใจเพื่ออิสราเอลนั่นเอง ที่มา : http://www.oknation.net/blog/TalkingBook/2009/01/19/entry-2

Gen. Stanley McChrystal คือใคร มีบทบาทในสงครามอัฟกานิสถานอย่างไร

Gen. Stanley McChrystal คือใคร มีบทบาทในสงครามอัฟกานิสถานอย่างไร

Stanley A। McChrystal, เมื่อเกิด 14 สิงหาคม 1954 เป็นปัจจุบันบัญชาการ, International Security Assistance Force(ISA F) และผู้บัญชาการ, สหรัฐอเมริกาไพร่พลอัฟกานิสถาน (USFOR-A). ก่อนหน้านี้เขาทำหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการร่วมเจ้าหน้าที่ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2008 ถึงมิถุนายน 2009 และเป็นผู้บัญชาการ, Joint Special Operations Command 2003-2008 ซึ่งเขาถูกบันทึกเครดิตกับการตายของ ผู้นำของ Al-Qaeda ในอิรัก สำหรับบทบาทของเขา การกระทำของเขาในอิรักและอัฟกานิสถาน

สำหรับบทบาทในสงครามอัฟกานิสถาน ในปัจจุบัน มีรายงานข่าวไว้ว่า

รายงานการประเมินสงครามในอัฟกานิสถาน ที่จัดทำโดย พล।อ।สแตนลีย์ แมคคริสตัล ผู้บังคับบัญชาทหารระดับสูงที่สุดของสหรัฐฯในสมรภูมิแห่งนั้น เกิด รั่วไหล ออกมา โดยเห็นได้ชัดเจนว่านี่เป็นความพยายามเพื่อที่จะบีบบังคับให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ต้องยินยอมเห็นพ้องที่จะเพิ่มกำลังทหารสหรัฐฯให้อีกเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี รายงานดังกล่าวนี้ก็ทำให้เราได้ทราบด้วยเช่นกัน ถึงภาพของสถานการณ์ที่ชวนให้หดหู่อย่างยิ่ง มิหนำซ้ำในรายงานอีกฉบับหนึ่ง ที่ใช้ชื่อว่า แผนการต่อสู้แบบบูรณาการฝ่ายพลเรือน-ทหาร ที่แมคคริสตัลเพิ่งลงนามเห็นชอบด้วยเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก็มีเสนอภาพซึ่งมองสภาพการณ์อย่างเลวร้ายยิ่งเสียกว่ารายงานชิ้นหลังนี้อีกวอชิงตัน รายงาน การประเมินเบื้องต้น (initial assessment) ว่าด้วยสงครามในอัฟกานิสถาน ที่จัดทำโดย พล।อ।สแตนลีย์ เอ แมคคริสตัล (Stanley A McChrystal) ผู้บังคับบัญชาทหารระดับสูงสุดของสงครามครั้งนี้ ได้กล่าวเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่า ความล้มเหลวจากการไม่จัดหาทรัพยากรมาให้อย่างเพียงพอ น่าที่จะส่งผลไปถึงขั้นกลายเป็น ความล้มเหลวของภารกิจคราวนี้ ขณะเดียวกัน การที่รายงานฉบับนี้เกิด รั่วไหล ออกมานั้น ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะบีบคั้นกดดันประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้ยังมีท่าทีลังเล ให้ยอมตกลงเห็นพ้องที่จะเพิ่มกำลังทหารสหรัฐฯให้อีกในจำนวนที่มากมายพอสมควรรายงานการประเมินของแมคคริสตัลถือเป็นรายงานลับ แต่ก็ไปตีพิมพ์อยู่บนเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันจันทร์(21) จากเวอร์ชั่นที่ปรากฏบนเว็บไซต์ดังกล่าวนี้ มีร่องรอยของการปรับปรุงเรียบเรียงใหม่จำนวนมาก ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าได้ถูกเตรียมการไว้เป็นพิเศษเพื่อวัตถุประสงค์ในกรณีที่มันรั่วไหลไปถึงสื่อมวลชนอย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจะมีความสำคัญยิ่งกว่าเรื่องรั่วไหลเสียอีก ก็คือการประเมินของแมคคริสตัลนั้นได้เสนอภาพของสถานการณ์ในอัฟกานิสถานที่ทำให้รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก

ยิ่งกว่านั้น หากลองนำเอาเอกสาร แผนการต่อสู้ในอัฟกานิสถานแบบบูรณาการฝ่ายพลเรือน-ทหาร (Integrated Civilian-Military Campaign Plan) ซึ่งแมคคริสตัลเองก็ให้ความเห็นชอบด้วยเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น มาพิจารณาประกอบกัน ก็จะยิ่งพบว่าเอกสารที่กล่าวถึงชิ้นหลังนี้ มองสภาพการณ์ในแง่เลวร้ายยิ่งกว่า การประเมินเบื้องต้น ของเขาเสียอีกแผนการต่อสู้ในอัฟกานิสถานแบบบูรณาการฯ ซึ่งลงนามโดย แมคคริสตัล และ คาร์ล ไอเคนเบอร์รี (Karl Eikenberry) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ระบุว่า ในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตชาวปาชตุน (Pashtun) อันเป็นชนชาติส่วนใหญ่ที่สุดของอัฟกานิสถานนั้น สภาพที่ประชาชนปฏิเสธไม่ยอมรับรัฐบาลอัฟกันเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนมาก จนกระทั่ง กลุ่มหลักๆ ทั้งหลายต่างกำลังให้การสนับสนุนพวกตอลิบาน เนื่องจากเห็นว่าเป็นทางเลือกอื่นอีกเพียงทางเดียวที่มีอยู่ นอกเหนือจากรัฐบาลในกรุงคาบูลซึ่งพวกเขาเห็นว่าควรแก่การดูหมิ่นเหยียดหยามเอกสารแผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯ ประทับตราจัดชั้นความลับไว้ว่า อ่อนไหวแต่ไม่ถือเป็นความลับ และไม่ได้มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทว่าสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิสก็ได้มาฉบับหนึ่งทั้งรายงานการประเมินเบื้องต้น และแผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯ ต่างยอมรับความเป็นจริงขั้นพื้นฐานต่างๆ ทางสังคม-การเมือง ซึ่งทำให้ต้องตั้งคำถามฉกรรจ์ๆ ขึ้นมาว่า แผนการต่อต้านการก่อความไม่สงบที่แมคคริสตัลสรุปคร่าวๆ เอาไว้ในรายงานการประเมินเบื้องต้นของเขานั้น หากมีการนำไปปฏิบัติแล้วจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ เพียงแต่ว่าในรายงานการประเมินเบื้องต้นนั้น เขาได้เปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ลดทอนน้ำหนักของข้อสรุปที่เป็นหัวใจบางประเด็นที่ปรากฏอยู่ในแผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯข้อแตกต่างกันที่สำคัญที่สุดระหว่างเอกสารทั้งสอง ได้แก่ข้อสรุปในเรื่องที่ว่าพวกผู้ก่อความไม่สงบได้รับความสนับสนุนจากประชาชนมากน้อยขนาดไหนแล้ว รายงานการประเมินของแมคคริสตัลเสนอว่า พวกผู้ก่อความไม่สงบยังไม่อาจหาความสนับสนุนจากประชาชนอย่างชนิดเต็มอกเต็มใจไม่ถูกบังคับได้พวกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มใหญ่ๆ ต่างใช้ความรุนแรง, การบังคับกะเกณฑ์, และการข่มขู่คุกคามต่อพลเรือน มาควบคุมประชากร รายงานการประเมินระบุเอาไว้เช่นนี้ อีกทั้งยังสรุปเอาไว้ว่า ความกระตือรือร้นของประชาชน ที่มีต่อพวกตอลิบานและกลุ่มก่อความไม่สงบอื่นๆ ดูจะอยู่ในสภาพที่จำกัด เช่นเดียวกับความสามารถของกลุ่มเหล่านี้ที่จะแพร่ขยายไปนอกพื้นที่ของชาวปาชตุนในทางเป็นจริงแล้ว ชาวปาชตุนมีจำนวนเท่ากับประมาณ 40-45% ของประชากรชาวอัฟกันทั้งหมด และตามพื้นที่ส่วนใหญ่ของอัฟกานิสถาน ตั้งแต่ฟากตะวันตกไกลโพ้น ข้ามไปทั่วทั้งภาคใต้ ไปจนจรดภาคตะวันออก ชาวปาชตุนก็เป็นชนชาติที่มีจำนวนมากกว่าชนชาติอื่นๆ ทั้งสิ้นอย่างไรก็ตาม แม้ปฏิเสธว่าประชาชนไม่ได้ให้การสนับสนุนพวกผู้ก่อความไม่สงบ แต่แมคคริสตัลก็ยอมรับเอาไว้ในรายงานการประเมินว่า มีปัจจัยบางประการ เป็นต้นว่า ความไม่พึงพอใจตามธรรมชาติเมื่อต้องถูกต่างชาติเข้ามาแทรกแซง ตลอดจนอัตลักษณ์แห่งความเป็นเผ่าและความเป็นชนชาติ ซึ่งได้รับการหนุนส่งให้แข็งแกร่งขึ้นอีกจาก ความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ จึงได้ส่งผลทำให้ มีหลายๆ ส่วนในหมู่ประชาชน ที่สามารถอดทนยอมรับการก่อความไม่สงบ และเรียกร้องให้ขับไล่คนต่างชาติออกไปขณะที่แผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯไปไกลกว่านั้น โดยเสนอว่า พวกตอลิบานกำลังได้รับความสนับสนุนจากประชาชนชาวอัฟกัน เพราะประชาชนมองว่า ถ้าหากไม่ยอมรับรัฐบาลในกรุงคาบูลที่ควรแก่การดูหมิ่นเหยียดหยามแล้ว หนทางเลือกที่เหลืออยู่อีกเพียงหนทางเดียวก็คือพวกตอลิบาน เอกสารนี้ชี้ว่า ชาวอัฟกันส่วนใหญ่นั้นปฏิเสธไม่ยอมรับ อุดมการณ์ตอลิบาน แต่ก็สรุปว่า กลุ่มชาวอัฟกันกลุ่มสำคัญๆ ต่างกำลังหวนระลึกถึงความมั่นคงปลอดภัยและความยุติธรรม ซึ่งในสมัยที่ตอลิบานปกครองอยู่ สามารถจัดหาเอื้ออำนวยให้บังเกิดขึ้นได้เอกสารทั้งสองฉบับยังใช้วลีที่แตกต่างกันในการบรรยายถึงความล้มเหลวทางการเมืองของรัฐบาลอัฟกันตลอดจนผลพวงที่เกิดตามมา

โดยรายงานการประเมินของแมคคริสตัลพูดถึง วิกฤตแห่งความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล แต่แผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า เป็น วิกฤตแห่งความถูกต้องชอบธรรม และกล่าวอีกว่า พวกผู้ก่อความไม่สงบประสบความสำเร็จในการ สร้างความถูกต้องชอบธรรมให้แก่ตนเองในบางระดับ โดยอาศัยมนตร์เสน่ห์ของความใกล้ชิดกันเชิงอุดมการณ์ และความกลัวเรื่อง การยึดครองของต่างชาติ ตลอดจนการเอื้ออำนวยให้เกิดความยุติธรรมในระดับท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็วเอกสารทั้งสองฉบับยังแตกต่างกันในเรื่องที่ว่า หากนำเอาแนวทางต่างๆ ที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลง ตามที่ได้กล่าวสรุปเอาไว้ในแผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯ มาปฏิบัติกันอย่างจริงจังแล้ว จะสามารถคาดหวังความคืบหน้าได้แค่ไหนรายงานการประเมินของแมคคริสตัล กระทำเพียงแค่เสนอยุทธศาสตร์กว้างๆ รวมทั้งวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่จะต้องบรรลุ หากต้องการทำให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย, การเพิ่มกองกำลังรักษาความมั่นคงของรัฐบาลอัฟกัน, และการปฏิรูปในเรื่องธรรมาภิบาล แต่รายงานนี้ไม่ได้มีการพิจารณาในแง่ที่ว่า วัตถุประสงค์ต่างๆ เหล่านี้นั้น มีความเสี่ยงหรือความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวไม่บังเกิดผลผิดกับแผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯ ซึ่งมีการพิจารณาแง่มุมของความเสี่ยงและความเป็นไปได้ที่อาจจะล้มเหลวไม่ประสบผล ตัวอย่างเช่น แผนการนี้มีการระบุเรื่องเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุจริตฉ้อฉล และถือว่าการลงโทษคนเหล่านี้หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนเหล่านี้เป็นวัตถุประสงค์ลำดับสำคัญยิ่งประการหนึ่งแต่แผนการนี้ก็เตือนเอาไว้ด้วยว่า รัฐบาลอัฟกันตลอดจนพวกพันธมิตรที่เป็นขุนศึกตามจังหวัดต่างๆ ของรัฐบาลนี้ ต่างก็เป็นพวกที่จะไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริงอะไรหากเกิดมีการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิม แถมยังอาจจะได้รับความผิดหวังจากความพยายามที่จะดำเนินการปฏิรูปดังกล่าวเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น แผนการต่อสู้เพื่อบูรณาการฯ จึงมีการเสนอความคิดเห็นถึงขนาดบอกกระทั่งว่า ประธานาธิบดีฮามิด คาร์ไซ อาจจะ เปลี่ยนตัวเอาพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ทรงประสิทธิภาพออกไปเป็นจำนวนมาก แล้วนำเอาคนที่ไร้ประสิทธิภาพหรือที่ทุจริตฉ้อฉลมาแทนที่นอกจากนั้น แผนการนี้ยังพูดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ถ้าหากความหวังในการลดการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลอัฟกันมีอันสิ้นสลายไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก็จะก่อให้เกิด ปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างฉับพลันรุนแรง ต่อ กองกำลังระหว่างประเทศช่วยเหลือการรักษาความมั่นคง (International Security Assistance Force หรือ ISAF อันเป็นชื่อที่เป็นทางการของกองกำลังนานาชาติที่นำโดยนาโต้ในอัฟกานิสถาน)ความเสี่ยงอีกประการหนึ่งที่แผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯคาดการณ์เอาไว้ ก็คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีอัฟกานิสถานในวันที่ 20 สิงหาคม จะ ถูกมองกันอย่างกว้างขวางว่าไม่ยุติธรรม และจะนำไปสู่ วิกฤตทางการเมือง และ/หรือเพิ่มความรับรู้ความเข้าใจที่ว่า GIRoA [Government of the Islamic Republic of Afghanistan รัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามแห่งอัฟกานิสถาน ซึ่งปัจจุบันก็คือรัฐบาลของประธานาธิบดีฮามิด คาร์ไซ] นั้นไร้ความถูกต้องชอบธรรม ทั้งนี้รายงานข่าวต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในช่วง 1 เดือนนับตั้งแต่การเลือกตั้งคราวนั้นผ่านพ้นไป บ่งชี้ให้เห็นว่าการคาดหมายดังกล่าวนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากทีเดียวแต่ถึงแม้การประเมินของแมคคริสตัลจะมีการยั้งหมัดเอาไว้อย่างชัดเจนในประเด็นปัญหาหลักๆ บางประเด็น มันก็ยังคงบรรจุเอาไว้ด้วยการใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมาอย่างเตะตายิ่ง เมื่อคำนึงว่านี่เป็นเอกสารของทางการ ทั้งนี้ยังไม่ต้องเอ่ยว่ามันยังเป็นเอกสารที่ผู้เขียนมีเจตนารมณ์มุ่งสร้างความชอบธรรมให้แก่การเพิ่มระดับของการทำสงครามแมคคริสตัลยอมรับปัญหาเรื่องขุนศึก (โดยเรียกพวกเขาว่าเป็น นายหน้าค้าอำนาจในระดับท้องถิ่นและระดับภาค) ซึ่งมีความเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อรัฐบาล แถมยังมีขุนศึกบางรายที่มีตำแหน่งอยู่ในกองกำลังความมั่นคงแห่งชาติของอัฟกานิสถานอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอัฟกานิสถานเขายังเอ่ยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ไอเอสเอเอฟ ก็มี ความสัมพันธ์ กับพวกขุนศึก โดยบอกว่าหน่วยทหารต่างชาติต่างๆ มีการติดต่อกับคนเหล่านี้ในหลายๆ ด้าน ทั้งเพื่อขอบริการด้านความมั่นคงปลอดภัย ตลอดจนต้องพึ่งพาอาศัยคนเหล่านี้อย่างมากๆ ในด้านข่าวกรองแมคคริสตัลตั้งข้อสังเกตว่า ความสัมพันธ์เหล่านี้ สามารถที่จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมา เขายกตัวอย่างของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ประการหนึ่งก็คือ สาธารณชนชาวอัฟกันจะรับรู้เข้าใจไอเอสเอเอฟว่าเป็น ผู้สมรู้ร่วมคิด กับการใช้อำนาจในทางมิชอบของทางการอัฟกานิสถานการที่รายงานการประเมินของแมคคริสตัลและแผนการต่อสู้แบบบูรณาการฯ ต่างพูดถึงเงื่อนไขพื้นฐานต่างๆ ทางด้านสังคม-การเมือง ที่จะส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของสงครามต่อต้านการก่อความไม่สงบเอาไว้ อย่างยอมรับความเป็นจริงกันมากมายถึงระดับนี้ ต้องถือว่านี่คือสิ่งที่ผิดปกติเป็นอย่างมากในการวางนโยบายการทหารของสหรัฐฯ หากไม่ถึงขั้นที่เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ขณะเดียวกัน มันก็ดูเหมือนจะช่วยเร่งให้เกิดภาวะวิกฤตขึ้นในการกำหนดนโยบายอัฟกานิสถานของสหรัฐฯนอกเหนือจากการโกงการเลือกตั้งอย่างโจ๋งครึ่มของระบอบปกครองคาร์ไซ และการที่ความสนับสนุนทางการเมืองภายในสหรัฐฯต่อสงครามในอัฟกานิสถานได้ลดต่ำฮวบฮาบลงอย่างรวดเร็วแล้ว ปัญหาอุปสรรคระดับพื้นฐานที่จะขัดขวางความสำเร็จในอัฟกานิสถานซึ่งมีการอภิปรายอย่างตรงไปตรงในเอกสารทั้ง 2 ชิ้นดังกล่าวนี้ ก็น่าจะมีส่วนเช่นกันที่ทำให้โอบามาเกิดความสงสัยข้องใจขึ้นมาเกี่ยวกับคำขอทหารเพิ่มเติมของแมคคริสตัลดังนั้น เอกสารทั้ง 2 ก็ได้สร้างคุณูปการทำให้โอบามาตัดสินใจที่จะกระทำสิ่งซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะรัฐบาลผู้หนึ่งเรียกว่า การทบทวนทางเลือกทุกๆ อย่างด้วยความเคร่งเครียดจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ตามรายงานข่าวของ ราจิฟ จันทราเซการัน (Rajiv Chandrasekaran) และ แคเรน เดอยัง (Karen DeYoung) ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ฉบับวันจันทร์(21)แกเรธ พอร์เตอร์ เป็นนักประวัติศาสตร์และนักหนังสือพิมพ์เชิงสืบสวน ที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องนโยบายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ หนังสือเล่มล่าสุดของเขาที่ชื่อ Perils of Dominance: Imbalance of Power and the Road to War in Vietnam ฉบับปกอ่อนได้รับการตีพิมพ์ในปี २००६

ที่มา : (สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส)

Al Qaeda คืออะไร มีบทบาทอย่างไรในอัฟกานิสถาน และปากีสถานอย่างไร

Al Qaeda คืออะไร มีบทบาทอย่างไรในอัฟกานิสถาน และปากีสถานอย่างไร
อัลกออิดะห์คืออะไร ?
อัลกออิดะห์ คือ กลุ่มก่อการร้ายสากลที่มี นายอุซามะ บิน ลาดิน เป็นผู้นำ เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่มีวัตถุประสงค์จะกำจัดรัฐบาลของประเทศมุสลิมที่ทำให้ความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลามถูกทำลายไปภายใต้รัฐบาลที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของประเทศตะวันตก และจัดตั้งรัฐบาลที่จะบริหารประเทศภายใต้บทบัญญัติอันเคร่งครัดของศาสนาอิสลาม หลังจากที่กลุ่มก่อการร้าย ฃอัลกออิดะห์ก่อเหตุโจมตีประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 ก।ย।2001 สหรัฐฯ เปิดสงครามโจมตีประเทศอาฟกานิสถาน เพื่อทำลายฐานที่มั่นของอัลกออิดะห์และโค่นล้มรัฐบาลตอลีบันที่ปกครองประเทศด้วยหลักการอันเคร่งครัดของศาสนาอิสลาม และให้ที่พักพิงแก่ นายบิน ลาดิน และสมุน อัลกออิดะห์ เป็นคำในภาษาอารบิค แปลว่า “ฐานที่มั่น (The Base)”
ใครคือผู้นำของกลุ่มอัลกออิดะห์ ?
จากข้อมูลที่ได้ระหว่างการดำเนินคดีในปี 1998 อัลกออิดะห์มีโครงข่ายการบริหารในลักษณะของสภา โดยสภาจะทำหน้าที่ปรึกษาหารือ อนุมัติการปฏิบัติการที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงปฏิบัติการก่อการร้าย สภาบริหารมี นายอุซามะ บิน ลาดิน เป็นประธาน มี นายอายมานห์ อัล ซาวาหะรี ผู้นำกลุ่มอิสลามิกจีฮัด ของประเทศอียิปต์ เป็นรองประธาน และเชื่อกันว่า นายอายมานห์ คือลูกน้องคนสำคัญที่สุดของนายบิน ลาดิน มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการกำหนดแนวความคิดของลัทธิ ในระหว่างที่สหรัฐฯ ทำสงครามโจมตีอาฟกานิสถานมีบุคคลระดับสูงของอัลกออิดะห์เสียชีวิตจากการโจมตีอย่างน้อย 1 คน คือ นายมูฮัมหมัด อาเตฟ ขณะที่ นายอาบู ซูเบย์ดาห์ ถูกจับกุมตัวได้ขณะหลบซ่อนตัวในปากีสถานเมื่อเดือน มี।ค।2002 และเมื่อเดือน มี।ค।2003 นายคาหลิด ชี๊ค มูฮัมหมัด ผู้ดูแลด้านการเงิน ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นตัวการคนสำคัญที่เชื่อว่าจะเป็นผู้วางแผนการโจมตีประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 ก।ย।2001 ก็ถูกจับกุมตัวได้ พร้อมกับ นายมุสตาฟา อาเหม็ด อัล ฮาว์ซาวี ที่ประเทศปากีสถาน
อัลกออิดะห์ เคลื่อนไหวอยู่บริเวณไหน ?
ปัจจุบันนี้เราไม่รู้แล้วว่ากลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ยังมีการจัดตั้งกองบัญชาการที่แน่ชัดหรือไม่ แต่ในช่วงระหว่างปี 1991 – 1996 อัลกออิดะห์มีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศซูดาน จากปี 1996 จนถึงการล่มสลายของกลุ่มตอลีบันในปี 2001 อัลกออิดะห์จัดตั้งค่ายฝึกก่อการร้าย และเคลื่อนไหวจากฐานที่มั่นในอาฟกานิสถาน ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ เชื่อว่า แกนนำระดับสูงของอัลกออิดะห์กำลังดำเนินความพยายามที่จะรวมกลุ่มกันในพื้นที่ห่างไกลจากเงื่อมมือของกฎหมายในหุบเขาในประเทศปากีสถานใกล้กับพรมแดนด้านติดกับประเทศอาฟกานิสถาน หรือรวมกลุ่มกันในเมืองต่าง ๆ ของปากีสถาน เจ้าหน้าที่ข่าวกรองเชื่อว่า อัลกออิดะห์มีกลุ่มงานย่อย (Cell) แฝงตัวอย่างอิสระอยู่ในกว่า 100 ประเทศ รวมทั้งในสหรัฐฯ ตำรวจของ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี่ เยอรมันนี อัลบาเนีย ยูกันดา และประเทศอื่นอีกหลายประเทศ สามารถกวาดล้างจับกุมสมาชิกเหล่านี้ได้เป็นจำนวนมาก
อัลกออิดะห์มีขนาดองค์กรใหญ่เพียงใด ?
เป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามนี้ เพราะว่าอัลกออิดะห์เป็นองค์กรที่ปราศจากแกนการควบคุม มีการประมาณกันว่า นักรบหรือสมาชิกของอัลกออิดะห์น่าจะอยู่ระหว่างหลายร้อย ถึง หลายพันคน
Al Qaeda : Questions and Answersที่มา : http://cfrterrorism.org/groups/alqaeda.हटमल

Joe Biden คือใคร มีหน้าที่อะไร

Joseph Robinette "Joe" Biden, Jr. (pronounced /ˈdʒoʊzɨf rɒbɨˈnɛt ˈbaɪdən/; born November 20, 1942), is the 47th and current Vice President of the United States under the administration of President Barack Obama. He was a United States Senator from Delaware from January 3, 1973 until his resignation on January 15, 2009, following his election to the Vice Presidency. Biden was born in Scranton, Pennsylvania and lived there for ten years before moving to Delaware. He became an attorney in 1969, and was elected to a county council in 1970. Biden was first elected to the Senate in 1972 and became the sixth-youngest senator in U.S. history. He was re-elected to the Senate six times, was the most senior senator at the time of his resignation, and is the 14th-longest serving Senator in history. Biden was a long-time member and former chairman of the Foreign Relations Committee. His strong advocacy helped bring about U.S. military assistance and intervention during the Bosnia War. He opposed the Gulf War in 1991. He voted in favor of the Iraq War Resolution in 2002, but later proposed resolutions to alter U.S. strategy there. He has also served as chairman of the Senate Judiciary Committee, dealing with issues related to drug policy, crime prevention, and civil liberties, and led creation of the Violent Crime Control and Law Enforcement Act and Violence Against Women Act. He chaired the Judiciary Committee during the contentious U.S. Supreme Court nominations of Robert Bork and Clarence Thomas.
สรุปความ Joe Biden คือใคร มีหน้าที่อะไร
Joseph Robinette "Joe" Biden จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน १९४२ อายุ 47 ปีและปัจจุบัน รองประธานของสหรัฐอเมริกา ภายใต้ การบริหาร ของ ประธานของ Barack Obama। เขาเป็น สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา จาก เดลาแวร์ ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 1973 จนกระทั่งลาออกใน 15 มกราคม 2009 เขาต่อไปนี้ การเลือกตั้ง ของเขา ไปเป็นรองประธาน. Biden เกิดในรัฐ Scranton, เพนซิลวาเนีย และอาศัยอยู่ในนั้นสิบปีก่อนที่จะย้ายไปเดลาแวร์ เขาเป็นทนายความใน 1,969 และได้รับเลือกให้ สภาเขต ในปี 1,970. Biden ได้ รับการลือกตั้ง ครั้งแรก ในวุฒิสภาในปี 1,972และเป็นที่หก-วุฒิสมาชิกสุดท้ายในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เขากลับเลือกที่จะวุฒิสภาหกครั้งเป็น สี่ส่วนใหญ่สมาชิกรัฐสภาระดับสูง ในขณะที่การลาออกของเขาและเป็น 14-ยาวที่สุดบริการสมาชิกวุฒิสภาในประวัติศาสตร์।
เป็นสมาชิกเวลายาวและอดีตประธานของ คณะกรรมการความสัมพันธ์ต่างประเทศ।สนับสนุน strong พระองค์ช่วยนำเกี่ยวกับความร่วมมือทางทหารและการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาในช่วง สงครามบอสเนีย.เขาต่อต้าน สงครามอ่าวในปี 1,९९१ เขาลงคะแนนในนิยมของ สงครามอิรัก ในปี 2002 แต่มติเสนอภายหลังการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกามี เขายังทำหน้าที่เป็นประธาน วุฒิสภาคณะกรรมการตุลาการ ติดต่อกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ นโยบายยาเสพติด, การป้องกันอาชญากรรมและการ โยธาและทำให้การสร้าง และควบคุมอาชญากรรมรุนแรงกฎหมายพระราชบัญญัติและ ความรุนแรงต่อผู้หญิง เขาเป็นประธานคณะกรรมการตุลาการระหว่างแย้ง สหรัฐ nominations ศาลฎีกาของ โรเบิร์ตบ๊อก และ Clarence Thomas